ปัญหาการตีความธรรมนูญฟีฟ่า

การแก้ธรรมนูญการเลือกตั้งของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือฟีฟ่า กำลังทำให้วงการกีฬาไทยเกิดความสับสน เนื่องจากมีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและคัดค้าน ที่ตีความข้อบังคับของฟีฟ่าที่แตกต่างกัน และฟีฟ่าถูกมองว่าพยายามเข้ามาควบคุมสมาคมฟุตบอลทั่วโลก ซึ่งเป็นการล้วงลูกมากเกินไป รวมทั้งก้าวล่วงกฎหมายไทย

ฟีฟ่ายืนยันว่า นายกสมาคมฟุตบอลมีวาระ 4 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับวาระของประธานฟีฟ่า ส่วนการเลือกตั้งที่กำหนดให้มีเพียง 72 เสียง เพราะให้ความสำคัญกับสมาชิกที่มีส่วนร่วมในเกมส์อย่างสม่ำเสมอ โดยตัวแทนฟีฟ่าที่มาหารือกับสมาคมฟุตบอลของไทยและกกท.ยืนยันว่า ทุกประเทศต้องรับรองและนำธรรมนูญใหม่ของฟีฟ่ามาบังคับใช้ ขณะที่นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้ พร้อมชี้แจงว่าเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตย ขณะที่หลายฝ่ายของไทยกลับไม่เห็นด้วย

แม้ว่าสมาคมจะถูกฟีฟ่า กดดัน แต่สมาคมฟุตบอลอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย 2528 และสามารถเปลี่ยนแปลงข้อบังคับได้เมื่อ โดยต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากที่ประชุมใหญ่ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสโมสรสมาชิก ซึ่งอาจจะทำให้การแก้ไขข้อบังคับมีปัญหา เพราะฝั่งสนับสนุนนายวรวีร์เหลือเหลือน้อย โดยก่อนหน้านี้กลุ่มชลบุรี และกลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ สนับสนุนนายวิรัช ชาญพาณิชย์ และประกาศว่ามี 140 เสียงในมือ

นอกจากนั้นมีประเด็นการตีความธรรมนูญฟีฟ่า ในเรื่องสิทธิ์ในการเลือกตั้ง โดยสโมสร ลีก สมาคมฟุตบอลท้องถิ่น และสโมสรกลุ่มอื่นๆ เท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์เลือกตั้ง โดยฟีฟ่าไม่ได้ระบุให้มี 72 เสียง ขณะที่นายวรวีร์ เสนอว่าต้องเป็นทีมจากไทยพรีเมียร์ลีก 18 ทีม ลีกวัน 18 ทีม และลีกภูมิภาค 30 ทีม รวมกับถ้วย ข ค ง อีก 6 ทีม รวมเป็น 72 เสียง  โดยบางคนมองว่านายกสมาคมตีความโดยกำหนดคุณสมบัติของสโมสรสมาชิกไม่ครอบคลุมและไม่เปิดกว้างตามข้อกำหนดฟีฟ่า

แม้ว่าจะมีความแตกต่างของการตีความธรรมนูญฟีฟ่า ซึ่งทำให้เกิดความสับสนว่าฟีฟ่ามีความเคร่งครัดในข้อบังคับแค่ไหน เพราะหากไทยยึดเป็นแบบแผนปฎิบัติควรปฎิบัติตามให้ครบทั้ง 84 ข้อ ส่วนการที่ฟีฟ่าส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมประชุมและกดดันไทยครั้งนี้ มีเสียงไม่เห็นด้วยจากหลายฝ่ายรวมทั้งนางนฤมล ศิริวัฒน์ ซึ่งมองเป็นการล้วงลูก และก้าวล่วงกฎหมายไทย