ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPURC) เปิดเผยผลการวิจัยล่าสุดเรื่อง ยุบโรงเรียน ช่วยนักเรียนไทยได้จริงหรือ?
หลักฐานเชิงประจักษ์จาก PISA การศึกษาครั้งนี้ เป็นการใช้ข้อมูลการสอบ PISA (Programme for International Student Assessment) ของนักเรียนไทยอายุ 15 ปี ที่ทำการสอบในปี 2552 จำนวน 4,396 คน เพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างขนาดของโรงเรียนกับผลการสอบ PISA ด้านการอ่าน
ในการสอบ PISA ผู้เข้าสอบทุกคนจะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับฐานะสังคม และเศรษฐกิจของครอบครัว เช่น รายได้ การศึกษา และอาชีพของพ่อแม่ ทรัพย์สินที่ถือครอง ตลอดจนถึงทัศนคติที่มีต่อการเรียน ครูผู้สอน และโรงเรียน เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ผู้ทำการทดสอบยังเก็บข้อมูลเชิงกายภาพเกี่ยวกับโรงเรียนที่นักเรียนคนนั้นอยู่ เช่น จำนวนอาคาร จำนวนครูผู้สอน และอุปกรณ์การเรียนการสอนต่างๆ
แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่นำมาใช้คือ ฟังก์ชันการผลิตทางการศึกษา ที่ระบุว่า ปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ จิตวิทยา และความพร้อมทางกายภาพของโรงเรียน คือ ปัจจัยการผลิต การเรียนการสอนในโรงเรียน คือ กระบวนการแปรรูปปัจจัยการผลิตเหล่านี้ให้กลายเป็น ความรู้ ซึ่งสามารถวัดได้ด้วยคะแนนสอบ
ด้วยเหตุนี้ ถ้าโรงเรียนสองโรงเรียนมีการเรียนการสอนเหมือนกันโดยสมบูรณ์ มีความพร้อมเชิงกายภาพเท่ากัน นักเรียนที่มีภูมิหลังด้านสังคม เศรษฐกิจ และทัศนคติ ที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเรียนโรงเรียนไหน ถ้าวัดด้วยข้อสอบชุดเดียวกัน ควรได้คะแนนเท่ากัน หรือถ้าแตกต่างกันบ้างก็เพียงเล็กน้อย
ดังนั้น หากโรงเรียนมีขนาดที่แตกต่างกัน ในขณะที่ปัจจัยอื่นๆ ยังเหมือนเดิม แล้วพบว่านักเรียนมีคะแนนสอบแตกต่างกัน แสดงว่า สิ่งที่ทำให้นักเรียนสองคนได้คะแนนแตกต่างกัน คือ ขนาดของโรงเรียน
ผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการยุบรวมโรงเรียนมี 3 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 ขนาดของโรงเรียนมีผลต่อคะแนน โดยเฉลี่ยแล้ว นักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่กว่า สามารถทำคะแนนสอบได้มากกว่าโรงเรียนขนาดเล็ก จึงอาจกล่าวได้ว่า การยุบรวมโรงเรียนจะช่วยให้นักเรียนย้ายมาจากโรงเรียนขนาดเล็กที่ถูกยุบรวมมีผลการสอบที่ดีขึ้น ผลการศึกษายังพบด้วยว่า ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการยุบรวมมากที่สุด คือ นักเรียนที่เรียนหนังสือไม่เก่งในชนบท
ประเด็นที่ 2 การยุบรวมโรงเรียนเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะช่วยให้นักเรียนมีผลสอบที่ดีขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลในตารางเป็นการสรุปผลของปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อคะแนนสอบของนักเรียน โดยแบ่งเป็นนักเรียนในเมืองและในชนบท ซึ่งจะเห็นได้ว่า ขนาดของโรงเรียนจะมีผลต่อคะแนนสอบประมาณร้อยละ 1 ถึง 2 สำหรับนักเรียนในเมือง และร้อยละ 1 ถึง 4 สำหรับนักเรียนในชนบท
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่นๆ ก็มีผลให้คะแนนเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน เช่น ทรัพยากรทางการศึกษาที่บ้าน ทัศนคติเกี่ยวกับโรงเรียน ทัศนคติเกี่ยวกับการอ่านหนังสือ และรูปแบบการเรียนที่เหมาะสมกับตนเอง นั่นหมายความว่า การยุบรวมโรงเรียนเพียงอย่างเดียวอาจไม่ช่วยให้คะแนนสอบของนักเรียนเพิ่มขึ้นมากนัก ถ้าไม่มีมาตรการเสริมในด้านอื่นๆ เช่น การยกระดับความเป็นอยู่ของครอบครัว การปรับเปลี่ยนทัศนคติของนักเรียน การช่วยเหลือให้นักเรียนสามารถค้นหารูปแบบการเรียนที่เหมาะสมกับตนเอง เป็นต้น
ที่น่าสังเกตก็คือ การมีคอมพิวเตอร์ (ซึ่งอาจจะตีความรวมถึงการมีแท็บเล็ต) ที่บ้าน ไม่ได้ส่งผลให้นักเรียนมีผลการสอบที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ปัจจัยพื้นฐาน เมือง ชนบท
ฐานะทางเศรษฐกิจ 3.2% ไม่มีผล
ทรัพยากรด้านการศึกษาที่บ้าน 2.3% 1.6%
คอมพิวเตอร์ (หรือแท็บเล็ต) ไม่มีผล ไม่มีผล
ทัศนคติเกี่ยวกับโรงเรียน ไม่มีผล 2.9%
ทัศนคติเกี่ยวกับการอ่านหนังสือ 2.1% ไม่มีผล
วิธีการเรียนที่เหมาะสมกับตนเอง 0.3-2.3% 1.2-2.2%
ขนาดของโรงเรียน 1-2% 1-4%
ประเด็นที่ 3 การทุ่มงบประมาณไปกับโครงสร้างพื้นฐานในโรงเรียนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะช่วยให้นักเรียนในชนบทได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพดีขึ้น รูปที่นำเสนอ เป็นวิเคราะห์ว่าปัจจัยพื้นฐาน เช่น ฐานะของครอบครัว การมีอุปกรณ์การเรียนการสอน คอมพิวเตอร์ จำนวนครูในโรงเรียน เป็นต้น จะสามารถอธิบายความแตกต่างของผลการสอบของนักเรียนในเมืองและในชนบทได้ในระดับใด โดยแบ่งตามระดับคะแนนจากกลุ่มคะแนนต่ำสุด (p10) จนถึงกลุ่มคะแนนสูงสุด (p90)
สำหรับนักเรียนที่มีคะแนนสอบต่ำ ปัจจัยพื้นฐานมีผลต่อความแตกต่างของคะแนนมากกว่าปัจจัยเชิงคุณภาพ (การบริการจัดการโรงเรียน แนวทางการสอน วัฒนธรรมในโรงเรียน การมีส่วนร่วมของชุมชนในการกำหนดหลักสูตร เป็นต้น) หมายความว่า การจะลดความแตกต่างของคะแนนระหว่างนักเรียนในเมืองที่เรียนไม่เก่งกับนักเรียนในชนบทที่เรียนไม่เก่ง จะสามารถทำได้ด้วยการเพิ่มปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ เช่น การเพิ่มจำนวนครู อุปกรณ์การเรียนการสอน เป็นต้น
สำหรับนักเรียนระดับปานกลางจนถึงเก่ง คุณภาพการศึกษา มีบทบาทมากขึ้นในการลดความไม่เท่าเทียมกันของคะแนนสอบระหว่างนักเรียนในเมืองและในชนบท ด้วยเหตุนี้ การเพิ่มงบประมาณให้กับโรงเรียนเพื่อนำไปใช้ในการซื้ออุปกรณ์การเรียนการเรียนการสอน เพิ่มจำนวนครู ตลอดจนถึงการสร้างอาคารสถานที่ จึงมีความสำคัญน้อยกว่า การพัฒนาในเชิงคุณภาพ ซึ่งข้อสรุปในส่วนนี้สอดคล้องกับงานวิจัยในเรื่องคุณภาพการศึกษาในต่างประเทศ
โดยสรุป การยุบรวมโรงเรียนเพียงอย่างเดียว อาจจะได้ผลในด้านของการประหยัดงบประมาณ แต่จะไม่ได้ผลในด้านการยกระดับคุณภาพการศึกษามากเท่าที่ควร นอกเสียจากว่า จะมีการดำเนินนโยบายด้านอื่นควบคู่ไปด้วย ทั้งในด้านการยกระดับความเป็นอยู่ของครอบครัว การปรับเปลี่ยนทัศนคติของนักเรียน การหารูปแบบการเรียนที่เหมาะสมกับตัวผู้เรียน และการปรับรูปแบบการสอนของครูให้มีความยืดหยุ่นพอ ตลอดจนถึงการปรับปรุงปัจจัยเชิงคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นการบริการจัดการโรงเรียน แนวทางการสอน วัฒนธรรมในโรงเรียน การมีส่วนร่วมของชุมชนในการกำหนดหลักสูตร ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ถูกละเลยในกระบวนการปฏิรูปการศึกษาของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา