นายกฯให้
ในทันทีที่ทราบคำพิพากษาศาลปกครองกลางนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ แถลงยืนยันที่จะขอกลับไปรับหน้าที่เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมเสนอปรับปรุงหลักวินิจฉัยคำร้องของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม และย้ำให้ข้าราชการไทยเลิกเอาใจนายด้วยการทำร้ายเพื่อน
ลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่ง คดีที่นายกรัฐมนตรี และคณะกรรมพิทักษ์ระบบคุณธรรม หรือ ก.พ.ค. มีคำสั่งจากสำนักนายกรัฐมนตรี ให้นายถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2555 ตามมติเห็นชอบจาก ครม. นายถวิลก็แถลงยืนยันที่จะกลับไปรับตำแหน่งเดิมเท่านั้น เพราะตลอด 1 ปี 8 เดือน 24 วันตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน
นายถวิล ยังย้ำว่า การเข้ามารับราชการเป็นอาชีพ ควรภาคภูมิใจในการเป็นข้าราชการรับใช้ประชาชน และมีความเข้มแข็งที่จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ทั้งนี้ข้าราชการทุกคนไม่ควรยึดติดกับนิสัยเอาใจนาย จนเป็นเหตุให้ทำร้ายเพื่อนข้าราชการด้วยกัน
พร้อมกันนั้นก็เสนอว่า ควรปรับปรุงหลักการวินิจฉัยคำร้องของ ก.พ.ค. ที่ยึดติดกับหลักของกฎหมาย โดยไม่ได้ดูเรื่องของดุลพินิจ และกลายเป็นเงื่อนไขหนึ่งของปัญหาความไม่ชอบธรรมที่เกิดขึ้น
ขณะที่นายธีรัชต์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แจ้งผ่านทวิตเตอร์ว่า นายกรัฐมนตรี รับทราบคำสั่งศาลปกครองกลางแล้ว พร้อมมอบหมายให้นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ส่งเรื่องให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี อ่านคำสั่งศาลอย่างละเอียด ก่อนหารือดำเนินการต่อไป ท่ามกลางกระแสว่า นายกรัฐมนตรี จะอุทธรณ์คดี ภายใน 30 วัน
ก่อนหน้านี้ศาลปกครองกลาง เคยมีคำพิพากษาให้นายกรัฐมนตรี คืนตำแหน่งเดิมให้ข้าราชการที่ถูกคำสั่งโยกย้าย และชี้ว่าคำสั่งนั้นไม่เป็นธรรมและไม่เป็นไปตามกฎหมายเกิดขึ้นมาแล้ว 2 กรณี คือ กรณีที่เกิดกับนายจาดุร อภิชาตบุตร อดีตรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และนายพีรพล ไตรทศาวิทย์ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย แต่หลังนายกรัฐมนตรี อุทธรณ์คดีนายจาดุร และศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งยึดตามคำพิพากษาเดิม แต่คำสั่งย้ายคืนยังไม่ทันออก นายจาดุร ก็เกษียณอายุราชการไปก่อนและด้วยรูปคดีกลายเป็นบรรทัดฐาน ส่งผลให้นายกรัฐมนตรี ผู้มีคำสั่งโยกย้ายนายพีรพล ตัดสินใจไม่อุทธรณ์คดี แม้พฤติการณ์และคำพิพากษาจะเหมือนกันก็ตาม ขณะที่นายถวิล จะเกษียณอายุราชการ ในปี 2557 นี้