ก้าวเล็กๆของโรงหนังแห่งแรกในเมืองไทย
เรื่องราวการผจญภัยของเด็กหนุ่มกับยักษ์ในตะเกียง ในหนังเงียบเรื่อง อะละดินกับตะเกียงวิเศษ ปีพ.ศ. 2447 ที่ไม่เพียงสนุกสนานยังโดดเด่นด้วยเทคนิคย้อนสีให้ฟิล์มขาวดำ ผลงานของผู้กำกับ เอส เดอ ชูวมอน เป็นหนึ่งในหนังเรื่องแรกๆ ที่ผ่านสายตาผู้ชมชาวไทยในโรงภาพยนตร์ หลังนักฉายหนังเร่ เอส. จี. มาร์คอฟสกี นำภาพยนตร์ซีเนมาโตกราฟเข้ามาฉายในโรงละครหม่อมเจ้าอลังการ เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2440 เป็นจุดเริ่มต้นให้ชาวสยามได้รู้จักภาพยนตร์ จนในปี 2448 นักฉายหนังเร่ชาวญี่ปุ่นเห็นโอกาสทำเงินจากธุรกิจหนังในเมืองไทย สร้างโรงภาพยนตร์ถาวรขึ้นเป็นแห่งแรก โดยเรียกติดปากว่า โรงภาพยนตร์ญี่ปุ่น จุดเริ่มต้นความรุ่งโรจน์ของกิจการฉายภาพยนตร์บนแผ่นดินสยาม
บริเวณเวิ้งวัดตึก หรือว่าที่เราเรียกกันว่าเวิ้งนาครเขษม ตอนนี้เปลี่ยนเป็นตึกและร้านค้ามากมาย ไม่เหลือโครงของโรงหนังแต่ว่าตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของโรงหนังในเมืองไทย เพราะว่าที่นี่เป็นที่ตั้งของโรงหนังญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์แห่งแรกของเมืองไทย ที่เริ่มต้นจากการทำเป็นกระโจมฉายหนังชั่วคราว ก่อนจะกลายเป็นโรงภาพยนตร์ถาวรแห่งแรกในเมืองไทยและทำให้เกิดโรงภาพยนตร์ต่างๆตามมาในบริเวณนี้อีกมากมายเลย
โรงกรุงเทพซินีมาโตกราฟ โรงหนังรัตนปีระกา โรงหนังพัฒนากร และโรงภาพยนตร์อีกหลายแห่ง สร้างขึ้นตามหลังโรงหนังญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก จำนวนโรงภาพยนตร์ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บริเวณถนนเจริญกรุง ทำให้ในช่วงปี 2450 โรงภาพยนตร์ต่างต้องแข่งขันกันอย่างรุนแรงเพื่อความอยู่รอด ทั้งการจัดรายการฉายภาพยนตร์ ปรับโฉมโรงหนังให้สะดวกสบายมากขึ้น หรือการดึดดูดผู้ชมด้วยกิจกรรมเสริมอย่าง การเล่นเกมส์ ตอบคำถามและจับฉลากชิงโชคจากหางตั๋วหนัง
นายสัณชัย โชติรสเศรณี ผู้ช่วยผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า โรงหนังญี่ปุ่นแต่เดิมก็เป็นสังกะสี พอคนมาสร้างที่หลังสร้างให้ใหญ่กว่า มีปูน แล้วเริ่มเป็นโรงหนังแห่งแรกที่มีแอร์ ทำให้โรงหนังมีการแข่งขัน และมีวิวัฒนาการมากขึ้น โรงหนังเดิมที่มาแต่เดิมต้องหายไปตามการแข่งขันทางธุรกิจ