ปัญหาหมอกควันในประเทศสิงคโปร์-มาเลเซีย
สถานการณ์หมอกควันจากไฟป่าในประเทศอินโดนีเซีย ลอยไปปกคลุมสิงคโปร์ ซึ่งเลวร้ายขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และแม้กระทั่งผู้ที่อยู่ในอาคารยังได้กลิ่นควันไฟ ซึ่งนายลี เสียน ลุง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ เตือนประชาชนว่า สถานการณ์อาจดำเนินต่อเนื่องอีกหลายสัปดาห์
ขณะที่ดัชนีมลภาวะในอากาศของสิงคโปร์ หรือ ค่า PSI สูงถึง 371 ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าค่า PSI 226 ที่เคยวัดได้เมื่อครั้งเกิดปัญหาหมอกควันครั้งเลวร้ายเมื่อปี 2540 และสุ่มเสี่ยงจะสร้างปัญหาสุขภาพต่อประชาชน
ส่วนที่มาเลเซียได้รับผลกระทบ ทำให้ต้องปิดโรงเรียนถึง 200 แห่ง
ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลต่อชาวอินโดนีเซีย โดยเฉพาะที่เมืองริโอ หมอกควันทำให้ทัศนวิสัยเลวร้าย ขณะที่มีรายงานว่า พบจุดเกิดไฟป่า หรือ ฮอทสปอต ที่เมืองริโอ เพิ่มขึ้นจาก 106 จุด เมื่อสัปดาห์ก่อน เป็น 148 จุดในสัปดาห์นี้ และทั่วเกาะสุมาตรา พบฮอทสปอต 185 จุด
ด้านสนามบิน เปกันบารู หยุดให้บริการเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 09.00 -10.00 น. เนื่องจากกลุ่มควันจากไฟป่าทำให้ทัศนวิสัยเลวร้าย ที่สนามบินจะเห็นได้ระยะ 1 กิโลเมตรเท่านั้น โดยสนามบินแห่งนี้มีเครื่องบินให้บริการวันละ 18-20 เที่ยว
สาเหตุของไฟป่าที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่เกิดการแผ้วถางป่าสำหรับเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรและปาล์มน้ำมันของชาวบ้าน และกลายเป็นปัญหาประจำปีที่ชาติรอบๆ อินโดนีเซียจะต้องเผชิญ
นอกจากนี้ปัญหาหมอกควันสร้างความตึงเครียดด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน ซึ่งขณะนี้มีรายงานว่า รัฐบาลสิงคโปร์กดดันรัฐบาลอินโดนีเซียให้เร่งดับไฟป่าให้ได้โดยเร็ว
ล่าสุดรัฐมนตรีประสานงานของอินโดนีเซีย ให้สัมภาษณ์กล่าวหาว่า สิงคโปร์กำลังทำตัวเป็นเด็ก เนื่องจากอินโดนีเซียไม่ได้ต้องการให้ไฟป่าเกิดขึ้น และปัญหาที่เกิดขึ้นก็เป็นปัญหาธรรมชาติ
ก่อนหน้านี้รัฐมนตรีป่าไม้ของอินโดนีเซีย เคยบอกให้ทั้งสิงคโปร์และมาเลเซียมาช่วยกันแก้ไขปัญหา เพราะบริษัทจาก 2 ประเทศ เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในบริษัทปาล์มน้ำมัน ที่ใช้พื้นที่บนเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย ปลูกปาล์มน้ำมัน และใช้วิธีเผาป่าเพื่อเตรียมที่เพาะปลูก