ผลพวงราคารับจำนำข้าว 15,000 บาทต่อตัน ผลักภาระต้นทุนของชาวนาที่สูงขึ้น
ก่อนที่โครงการรับจำนำจะเริ่ม ต้นทุนการทำนา อยู่ที่ประมาณไร่ละ 5,000-5,500 บาท แต่หลังจากโครงการรับจำนำข้าว ประกาศรับจำนำที่ตันละ 15,000 บาท ราคาของปัจจัยสำคัญๆ ก็ขยับตามกันมา
นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาข้าวไทยระบุว่า ทันทีที่รัฐบาลประกาศโครงการรับจำนำในราคาสูง ต้นทุนสำคัญปรับเพิ่มทั้งปุ๋ย ยา โดยเฉพาะค่าเช่าที่ สูงขึ้นมาถึงไร่ละ 2,000 บาท เหตุผลหลักของเจ้าของชาวนาจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ต้นทุนปัจจุบันอยู่ที่ไร่ละเกือบ 7,000 บาท หลักๆ อยู่ที่ ค่าแรง ที่แทบจะจ้างคนงานในทุกขั้นตอน รวมถึงค่าเช่าที่ดิน
นอกจากราคาของต้นทุนการปลูกข้าวจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การใช้ในปุ๋ยและสารเคมีที่เกินความเหมาะสม เพื่อเร่งผลผลิต ก็เพิ่มภาระต้นทุนให้ชาวนาด้วย
ด้านผู้ค้าปุ๋ย ระบุว่า กลายเป็นจำเลยของการปลูกพืชมาตลอดหลายสิบปี ทั้งที่ ปุ๋ย เป็นสินค้าควบคุมโดยกระทรวงพาณิชย์ ไม่สามารถขายเกินราคาเพดานได้ และเมื่อเดือนเศษที่ผ่านมา สมาคมให้ความร่วมมือลดราคาลง ร้อยละ 8-12
นายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจเกษตรไทย ยืนยันว่าปุ๋ยเคมีของไทยถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และการนำเข้าปุ๋ยเคมีช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างทรงตัว และปีนี้คาดว่าจะไม่ขยายตัวมากนัก ซึ่งการปรับราคาต้องพิจารณาหลายปัจจัย เช่น การแข่งประมูลในตลาดโลก เพราะไทยต้องนำเข้าทั้งหมด รวมถึงราคาก๊าซธรรมชาติ และค่าเงิน
ที่ผ่านมาตลอดโครงการ นักวิชาการ และภาคเอกชน วิพากษ์วิจารณ์ว่าราคารับจำนำที่รัฐบาลตั้งไว้สูง กว่าราคาตลาดถึงร้อยละ 40 ทำให้กลไกตลาดทั้งการค้าข้าว การเพาะปลูกถูกบิดเบือน สิ่งที่รัฐบาลควรทำ ปล่อยให้การค้าข้าวขับเคลื่อนไปตลาดกลไกตลาด พร้อมส่งเสริมพัฒนาประสิทธิภาพการเพาะปลูก และเพิ่มศักยภาพชาวนา