วิเคราะห์เป้าหมาย
เวทีปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่ใช้ชื่อว่า "ผ่าความจริง-หยุดกฎหมายล้างผิด"นับว่ามีความเข้มข้นขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะจังหวะที่ใกล้จะเปิดสภาฯพิจารณาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม แต่ถ้าสรุปสาระสำคัญที่แกนนำพรรค ระบุ จะเห็นได้ถึงเจตนาที่จะต่อต้านร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะในหรือนอกสภาก็ตาม โดยเริ่มต้นจากบทบาท ส.ส.ที่จะอภิปรายทักท้วง และชี้แจงถึงข้อเสียอย่างละเอียด ซึ่งการประกาศที่จะใช้ทุกรูปแบบ อาจตีความได้ถึงความเขี้ยวในเกมการเมืองของฝ่ายค้าน ตั้งแต่การแจกแจงเหตุและผล,ยื้อเวลา,ประท้วง,ตีรวน,โจมตีและตอบโต้ ไปจนถึงเหตุวุ่นวาย
และจากคำปราศรัย หากผ่านวาระแรก เข้าสู่วาระที่ 2 คือการแปรญัตติ ทุกมาตราและทุกตัวอักษร และเมื่อถึงเวลานั้น หากเสียงข้างมากลงมติเห็นชอบผ่านวาระที่ 3 นั่นหมายถึง วิธีการสุดท้ายที่จะยื่นร่างกฎหมายและข้อกล่าวหาให้ทุกองค์กรอิสระตีความการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามด้วยวิธีสุดท้าย ที่จะสลัดสถานะผู้แทน ลงมาสวมบทเคียงข้างประชาชน
และด้วยถ้อยคำที่ปราศรัย โดยเฉพาะข้อความของนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย และนายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ร่วมให้กำลังใจแบบหิ้วกระเป๋าเข้าเมือง บ่งบอกถึงการระดมประชาชน นี่ย่อมมีนัยสอดคล้องกับการชุมนุมของกลุ่มกองทัพประชาชน ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายคือการคัดค้านร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และแม้จะวางยุทธศาสตร์ไว้ในที่ตั้งและประกาศค้างคืนรายวัน แต่ก็มีกำหนดการที่จะเคลื่อนไหว ทั้งเดินสายชี้แจงจุดยืนต่อองค์กรในและต่างประเทศ,การเดินสายขอระดมมวลชนและตามด้วยแผนดาวกระจายไปยัง 2 จุดสำคัญ คือทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา ในวันที่ 7 ส.ค.
ภายใต้การบังคับใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่ครอบคลุม 3 เขต ไม่ว่าจะเป็นวิธีการคัดค้านร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกรูปแบบของพรรคประชาธิปัตย์ หรือยุทธศาสตร์การชุมนุมของกลุ่มกองทัพประชาชนฯนั้น คงต้องยอมรับว่า "อึดอัด-คับแคบและยากจะขยับขยาย"แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ทั้งวิธีการและยุทธศาสตร์นั้น มีเป้าหมายเดียวกัน คือการคาดหวังให้ประชาชนออกมาแสดงพลัง บอกกล่าวรัฐบาลพรรคเพื่อไทย หรือเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อถอนหรือยุติร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม