นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้ จะทราบผลสรุปเบื้องต้น ของสาเหตุท่อน้ำมันของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมีคอล รั่วบริเวณทุ่นรับน้ำมัน หลังจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จเหตุน้ำมันรั่วไหลลงทะเลที่มีคุณหญิงทองทิพ รัตนะรัต กรรมการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นประธาน โดยมีกองพิสูจน์หลักฐาน และ ผู้ผลิตท่อส่งน้ำมันร่วมตรวจสอบท่อรับน้ำมันดิบที่เสียหายด้วย
ส่วนข้อสงสัยเรื่องปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลยืนยันว่า ไม่น่าจะมีปริมาณเกิน 50,000 ลิตร เนื่องจากท่อวาล์วปิดลงอัตโนมัติทันที ทำให้มีปริมาณค้างท่อจำนวน 35,000 ลิตร ไหลลงสู่ทะเล ซึ่งคำนวณจากขนาดท่อที่มีความกว้าง 16 นิ้ว ยาว 270 เมตร และมีน้ำมันไหลเพิ่มเติมอีก 10,000 ลิตร จากแรงดันภายในท่อ
ส่วนกรณีหลายฝ่ายมองว่าน่าจะมีน้ำมันมากกว่านี้ โดยคำนวณจากสารเคมีสลายคราบน้ำมันที่ใช้ไปกว่า 33,000 ลิตร ซึ่งสามารถสลายคราบน้ำมันได้กว่า 180,000 ลิตร ยืนยันว่า สาเหตุที่ต้องใช้สารเคมีจำนวนมาก เนื่องจากทะเลมีคลื่นลมแรง ทำให้คราบน้ำมันกระจายตัวเป็นวงกว้าง รวมทั้งการใช้เครื่องบินมาโปรยสารเคมี ทำให้ต้องใช้ปริมาณมากกว่าปกติ
ขณะที่พีทีที จีซีจะหารือร่วมกับกลุ่มชาวบ้านอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลกลางทะเล เพื่อประเมินค่าเสียที่เกิดขึ้น และจะจ่ายเงินเยียวยาค่าเสียหายในทันที โดยไม่ต้องรอเงินจากบริษัทประกัน ภายในสัปดาห์นี้
รวมถึงค่าดำเนินการและค่าเบี้ยเลี้ยงที่เกิดขึ้น ให้หน่วยงานภาครัฐที่เข้ามาช่วยปฎิบัติภารกิจขจัดคราบน้ำมัน เช่น กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า และกรมควบคุมมลพิษ
นอกจากนี้หากผลตรวจหาสาเหตุ พบว่า ปัญหาเกิดจากความประมาทของพนักงาน หรือความผิดพลาดในการปฏิบัติตามข้อบังคับขององค์กร กรมเจ้าท่าจะฟ้องร้องพีทีที จีซีในคดีอาญา
ด้าน 8 องค์กรภาคประชาชน ทั้งด้านการประมง ผู้ประกอบการร้านค้า สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว และสภาทนายความ จังหวัดระยอง ได้ร่วมกันแถลงชี้แจงข้อเรียกร้อง และภาพรวมของความเสียหาย ที่เกิดจากเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลดังกล่าวว่า ส่งผลเสียหายในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว คาดว่าเสียหายไม่น้อยกว่า 4,000 ล้านบาท