ศาลฎีกาพิพากษายืนคดีชาวบ้านรุกที่อุทยานฯ จ.เชียงใหม่
คดีที่ชาวบ้านพรสวรรค์ ต.ข่วงเปา อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ 47 คน ถูกกรมป่าไม้ฟ้องร้องดำเนินคดี ฐานบุกรุกแผ้วถางป่าจอมทองตั้งแต่ปี 2539 เป็นคดีพิพาทเรื่องที่ดินทำกินอีกหนึ่งคดีที่ภาคประชาสังคมในนามเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยพยายามเร่งรัดให้ภาครัฐช่วยเหลือ และเยียวยาชาวบ้าน ขณะที่ด้านคดีความ ล่าสุด ศาลฎีกาพิพากษายืนให้หนึ่งในจำเลยออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พร้อมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
ชาวบ้านพรสวรรค์ ต.ข่วงเปา อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ สวมใส่หน้ากากแพะ ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ระหว่างเดินทางมาให้กำลังใจนายมานิด อินถา หนึ่งในชาวบ้าน 47 ราย ที่ถูกกรมป่าไม้ฟ้องร้องดำเนินคดีในคดีบุกรุกแผ้วถางต้นไม้ในป่าจอมทอง ตั้งแต่ปี 2539 และศาลฎีกานัดฟังคำตัดสินในวันนี้ โดยศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ คือให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เนื่องจากคำร้องที่ยื่นต่อศาลฎีกาฟังไม่ขึ้น
แม้คำพิพากษาของศาลฎีกาจะออกมาชัดเจน แต่ชาวบ้านพรสวรรค์บางส่วนยังยืนยันจะไม่ยอมย้ายออกจากหมู่บ้าน โดยอ้างว่าบุกเบิกที่ดินซึ่งเป็นป่าเสื่อมโทรม ตั้งแต่ปี 2527 เนื่องจากไม่มีที่ดินทำกิน และมีฐานะยากจน โดยไม่ทราบว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวน
ข้อมูลเครือข่ายปฏิรูปภาคเหนือระบุว่า ภาครัฐรับรู้ การเข้าถือครองพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมของชาวบ้านพรสวรรค์ เพราะมีหลักฐานการยื่นคำขอใช้ประโยชน์ในที่ดินที่สำนักงานป่าไม้ อ.จอมทอง ตั้งแต่ ปี 2530 แต่ในปี 2539 เกิดกรณีราษฎรหลายกลุ่มบุกเบิก และตัดไม้ในบริเวณใกล้เคียง จนก่อให้เกิดความขัดแย้ง ทำให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมชาวบ้านรวทั้งชาวบ้านพรสวรรค์ ซึ่งเป็นผู้ทำกินอยู่เดิม ที่ผ่านมา ชาวบ้านได้ขอความเป็นธรรมไปยังหลายหน่วยงาน จนรัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2542 ให้ป่าไม้จังหวัดเชียงใหม่จัดหาที่ดินให้ชาวบ้าน แต่กลับไม่สามารถดำเนินการได้
ล่าสุด ยังเหลือชาวบ้านอีก 33 รายที่ศาลจะทยอยอ่านคำพิพากษา ซึ่งนายประยงค์ ดอกลำไย ที่ปรึกษาเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ชาวบ้านยอมรับในผลคดี แต่ต้องการให้กรมป่าไม้ถอนการบังคับคดี เพื่อปรับเปลี่ยนให้ชาวบ้านเช่าพื้นที่แทน