ก่อนเดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อพูดคุยแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า นายกรัฐมนตรี แสดงความเป็นห่วงใยปัญหาที่เกิดขึ้นและกำชับให้เร่งคลี่คลายปัญหาโดยเร็ว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างยั่งยืนและดูแลให้ทั่วถึงครอบคลุมทั้งประเทศ พร้อมกันนั้นก็กล่าวยืนยันถึงเหตุความจำเป็นในการใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพารา ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากมีการชุมนุมปิดล้อมเจ้าหน้าที่
ขณะที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติหรือ กนย. กล่าวยืนยันว่า ทุกฝ่ายต่างคาดหวังที่จะให้ปัญหาคลี่คลายโดยเร็ว และหากดำเนินการแก้ปัญหาได้ทั้งระบบก็จะส่งผลให้ราคายางพาราดีขึ้นต่อไป แต่ทั้งนี้ผลผลิตยางพาราส่วนใหญ่ในประเทศ ถูกส่งออกไปยังตลาดโลก ดังนั้นการพิจารณากำหนดราคายาง จึงต้องคำนึงถึงปัจจัยรอบด้าน
และเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ปัญหาราคายางพารา พร้อมกันนั้นก็ระบุว่า การเชิญเอกชนมาหารือในวันนี้ (6 ก.ย.) เพราะต้องการฟังว่าในส่วนของภาคอุตสาหกรรม ที่เป็นฝ่ายผู้ต้องการสินค้ายางพารา จะช่วยดูแลราคายางอย่างไรได้บ้าง
ด้านนายหลักชัย นายกิตติพล นายกกิตติมศักดิ์สมาคมยาง เผยว่า ราคายางได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา และหากดูราคาในปีนี้ (56) จะพบว่าราคาเฉลี่ยจะเท่ากับปี 2551 แต่หลังจากนั้นราคายางในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น และนับจากนี้ราคาก็จะไม่สูงขึ้นอีก เพราะมีผลผลิตออกมาทั้งจากไทย มาเลเซีย เวียดนาม และจีน
ขณะที่ตัวแทนจากภาคเอกชน เผยว่า ทางบริษัทมีการขยายกำลังการผลิตยางในประเทศไทย ทั้งนี้ในที่ประชุมยังได้แลกเปลี่ยนมุมมองในการร่วมกันแก้ปัญหาราคายางพาราที่ตกต่ำในประเทศ ซึ่งได้สรุปแล้ว นอกจากการดูแลเสถียรภาพราคายางแล้ว ยังมีความเห็นว่า รัฐบาลจะต้องดูแลเรื่องพื้นที่ปลูกอย่างเหมาะสม เพื่อลดต้นทุนและผลผลิตที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรี ยังระบุที่จะเชิญประเทศอื่นในอาเซียนมาร่วมในสภายางพาราอาเซียน เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมยางและเพิ่มพลังในการต่อรองมากขึ้น