นักวิชาการเตือน กลุ่มผู้ชุมนุมเจรจาเพื่อหาทางออกโดยสันติวิธี
ศ.นพ.ประเวศ วะสี นักวิชาการ เห็นว่า การที่ประชาชน และมหาวิทยาลัยต่างๆ ออกมาชุมนุมคัดค้านร่างกฎหมายนิรโทษ ทำให้เกิดการเรียนรู้ว่า ความเข้มแข็งของสังคม เป็นปัจจัยชี้ขาดอนาคตของประเทศ และยังเห็นว่า รัฐบาลต้องเดินหน้าปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง
ทั้งนี้หากเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ รัฐบาลต้องปรึกษาฝ่ายค้าน, นักวิชาการ และภาคประชาสังคม หรือที่เรียกว่าทำงานแบบทวิพรรค ซึ่งหากทำได้จริง ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประเทศ
ขณะเดียวกัน ขอให้ทุกฝ่ายระมัดระวัง, ยับยั้งชั่งใจ อย่าให้เหตุการณ์พลิกผันไปสู่ความรุนแรง และควรใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลงไปสู่การปฏิรูปประเทศ โดยใช้หลักของเหตุผล และความเป็นธรรม และไม่ควรมองว่า ชัยชนะเป็นของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งทางออกที่ดีที่สุดคือ การเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันตามข้อเสนอของ ผศ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ขณะที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เสนอให้รัฐบาลควบคุมหน่วยงานของรัฐและกลไกอื่น ให้แก้ปัญหาอย่างสันติวิธี เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง และให้ทุกฝ่ายแก้ปัญหาด้วยสติและปัญญา โดยเสนอให้ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม และรัฐบาลหารือร่วมกัน
ทั้งนี้ ทปอ.ยืนยันหลักการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ขจัดปัญหาความคลางแคลงใจของ ประชาชนในเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลต้องสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยหากต้องการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ก็ต้องไม่รวมถึงคดีทุจริตคอร์รัปชั่น
อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้อาจพัฒนาไปสู่ความรุนแรงได้ ทปอ.จึงตั้งคณะทำงานโดยมีอธิการบดีมหาวิทยาลัยรัฐ 9 แห่ง เพื่อติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมให้ทุกฝ่ายใช้การพูดคุยฝ่ายคนกลาง เพื่อหาจุดร่วมการแก้ปัญหานี้
ด้านชมรมแพทย์ชนบท ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ประกาศจุดยืนสนับสนุนมาตรการอารยะขัดขืน เพราะเป็นแนวทางสันติวิธี แต่เป็นห่วงเรื่องการระดมมวลชนเข้ากรุงเทพมหานคร เพราะอาจนำไปสู่การปะทะและความรุนแรงได้ ซึ่งรัฐบาลต้องใช้ความระมัดระวังในการแก้ปัญหา
ทั้งนี้ชมรมแพทย์ชนบท ของดเว้นมาตรการลาหยุดงาน เพราะต้องดูแลความเจ็บป่วยของประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง แต่สามารถบริหารจัดการ โดยให้เจ้าหน้าที่เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองได้ ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่องานและผู้ป่วย
พร้อมเสนอให้นายกรัฐมนตรี และ ส.ส.ทั้ง 310 คนที่โหวตเห็นชอบร่างกฎหมายนี้ในวาระ 3 ออกมาขอโทษประชาชนและกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ทำให้ผู้ต้องขังหรือต้องโทษตามความผิด เสียโอกาสในการได้รับการนิรโทษกรรมครั้งนี้ เพราะเป็นบันไดขั้นแรกของการแก้ปัญหาทั้งหมด