"ปชป."พร้อมสู้ตามกม. หลังดีเอสไอสั่งอายัดบัญชี

การเมือง
24 ธ.ค. 56
01:20
74
Logo Thai PBS
"ปชป."พร้อมสู้ตามกม. หลังดีเอสไอสั่งอายัดบัญชี

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ยังคงยืนยันว่า มีอำนาจอายัดบัญชีธนาคารของแกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า กปปส. โดยพนักงานสอบสวนจะแจ้งไปยังธนาคารต่างๆ เพื่อให้ตรวจสอบว่า ผู้ถูกกล่าวหามีบัญชีอยู่กับแต่ละธนาคารหรือไม่ หากมีก็ขอให้อายัดไว้ตรวจสอบว่ามีความเคลื่อนไหวของบัญชีที่ผิดปกติ อาจเข้าข่ายเป็นท่อน้ำเลี้ยงของการชุมนุมหรือไม่ ด้านรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์บอกว่า ยังไม่ได้รับเอกสารแจ้งอายัดบัญชีธนาคาร แต่ก็ได้ประชุมกับทีมกฎหมายของพรรค เพื่อกำหนดแนวทางการต่อสู้ตามกฎหมาย ขณะที่ เลขาธิการสมาคมธนาคารไทยระบุว่า ธนาคารบางส่วนได้รับการแจ้งจากดีเอสไอแล้ว แต่ก็ได้ส่งหนังสือสอบถามเพื่อความชัดเจนกลับไป

นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทยได้ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า สถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของประชาชนที่นำเงินมาฝากด้วย และทุกครั้งที่ได้รับหนังสือเป็นคำสั่งให้ส่งข้อมูลทางการเงิน หรือ อายัดบัญชี ก็จะต้องมีการตรวจสอบก่อน

เลขาธิการสมาคมธนาคารไทยบอกว่า สถาบันการเงินมีหน้าที่ทำตามกฎหมายเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจตัดสินว่าใครถูกหรือผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และถ้าหากผู้ที่ออกคำสั่งมาทำผิด เขาก็ต้องรับผิดชอบเอง ทั้งนี้ เชื่อว่าแกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ากปปส. ทราบและเข้าใจหน้าที่ของสถาบันการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย หรือการดูแลผลประโยชน์ประชาชน

เมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.)  อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้หารือกับฝ่ายกฏหมายของพรรค กรณีที่ดีเอสไอจะอายัดบัญชีธนาคารซึ่งก็ได้ข้อสรุปกันว่า ดีเอสไอปฏิบัติหน้าที่เกินขอบเขตของกฎหมายและรวบรัดเกินไป นอกจากนี้ ควรมีเบาะแสหรือหลักฐาน ที่สามารถระบุเบื้องต้นได้ว่า บัญชีธนาคารเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย

นายองอาจบอกว่า ถ้าหากถูกอายัดบัญชีธนาคาร ก็จะต่อสู้ตามกฎหมาย และหาทางดำเนินการให้ถอนการอายัด ซึ่งตอนนี้ก็กำลังติดตามดูว่า ดีเอสไอดำเนินการอะไรไปบ้างแล้วหรือยัง ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่า การใช้อำนาจของดีเอสไอครั้งนี้ ไม่น่ามีสิทธิ์ทำได้

จากข้อมูลที่ระบุว่า แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ากปปส. หลายรายถูกสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศ นายวอลเตอร์ บราวโนห์เลอร์ โฆษกสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย บอกว่าเป็นข่าวลือและนโยบายเกี่ยวกับการตรวจลงตรา หรือ วีซ่า ไม่สามารถให้ความเห็นเป็นรายกรณีได้ นอกจากนี้ เป็นข้อมูลส่วนบุคคลไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ


แท็กที่เกี่ยวข้อง:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง