ท่าทีของ “ฮุนเซน”บนพื้นที่ทับซ้อนไทย-เขมร
ตลอดช่วงเช้าวันนี้ (8ก.พ.) ก่อนที่สมเด็จ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาจะเดินทางกลับพนมเปญได้เกิดการเผชิญหน้าทางการทหารบริเวณพื้นที่รอบกลุ่มปราสาทตาเมือนธม ชายแดนอ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เมื่อพล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาคที่2 ปฏิเสธคำขอของฝ่ายกัมพูชาที่ต้องการให้สมเด็จฮุนเซน เดินทางเข้ามายังพื้นที่ดังกล่าวโดยอ้างเหตุความไม่เหมาะสมของช่วงเวลาในการเข้าชม แม่ทัพภาคที่ 2ได้สั่งเพิ่มอาวุธหนัก และ นำกำลังทหารหลักจากกองกำลังสุรนารีเข้าเสริมกำลังทหารพรานในพื้นที่เป็นการเตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นจากฝ่ายกัมพูชา
สถานการณ์ได้คลี่คลายหลังสมเด็จฮุนเซนเดินทางกลับพนมเปญเมื่อเวลา 10.00 น.โดยไม่ได้เดินทางไปยังปราสาทตาเมือน อย่างที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้
โดยวันเสาร์ที่ผ่านมา สมเด็จฮุนเซนได้ปรับแผนเดินทางบนเขาพระวิหารเช่นกัน หลังแม่ทัพภาค2 ยืนยันจะไปรับสมเด็จฮุนเซนที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ทางทิศตะวันตกของตัวปราสาทพระวิหาร ซึ่งอยู่ในเขตอธิปไตยของไทย
ในขณะที่กัมพูชาอ้างว่าอยู่ในเขตแดนของกัมพูชาเช่นกันสมเด็จฮุนเซนเปลี่ยนใจไม่เดินทางไปที่บริเวณวัดหลังรับทราบถึงการเคลื่อนไหวของฝ่ายไทย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่ยังหาข้อยุติไม่ได้บริเวณพื้นที่พิพาท
เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงไทยเชื่อว่า การเดินทางมาของสมเด็จฮุนเซน เกี่ยวข้องกับการเสนอพื้นที่กันชนและแผนการบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาท ที่กัมพูชาเสนอให้คณะกรรมการมรดกโลกเมื่อวันที่1 ก.พ.ที่ผ่านมา และในเดือนก.ค.นี้ระหว่างการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่ประเทศบราซิล จะมีการหารือในเรื่องดังกล่าว
โดยนายกรัฐมนตรีระบุรัฐบาลได้มีการเตรียมการในการชี้แจงทำความเข้าใจระหว่างการประชุมที่ประเทศบราซิล
นายกวี จงกิจถาวร บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ ของสำนักข่าวเนชั่น มองว่า แผนการตอบโต้ของฝ่ายความมั่นคงไทยมีส่วนทำให้การเดินทางมายังพื้นที่ชายแดนของสมเด็จฮุนเซนไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ รวมถึงยังไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมที่กัมพูชาอ้างมาตลอดว่า อยู่ในเขตแดนของกัมพูชา
เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไทยยอมรับว่า มาตราการตอบโต้ของฝ่ายไทยได้สร้างความไม่สบายใจต่อทางกัมพูชาและอาจเป็นเหตุให้เกิดสถานการณ์ที่ตึงเครียดเพิ่มขึ้นโดยได้มีการกำชับให้ทหารในบนเขาพระวิหารปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น