การจัดระดับของสถานีตำรวจนครบาลทั้ง 88 แห่งของพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มีการแบ่งไว้เป็นเกรดเอ และเกรดบีนั้น เป็นการแบ่งเพื่อจัดเจ้าหน้าที่ลงไปทำงานให้เหมาะสมกับจำนวนประชากรและคดีที่เกิดขึ้น แต่ในความจริงโรงพักที่ถูกยกระดับเป็นเกรดเอ มักจะเป็นพื้นที่ที่มีสถานบันเทิงอยู่เป็นจำนวนมาก และส่งผลเรื่องของปัญหาการเรียกรับผลประโยชน์ การตั้งคณะกรรมการสอบสวนเกี่ยวกับข้อเท็จจริงกรณีปล่อยปละละเลยให้สถานบันเทิงเปิดเกินเวลา และให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปใช้บริการ กรณีเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. และ ป.ป.ส. เข้าตรวจค้นสถานบันเทิง ย่านพระราม 3 เป็นระเบียบบังคับที่ผู้บังคับบัญชามักจะนำมาใช้เพื่อหาบทลงโทษ รวมไปถึงการสั่งให้หัวหน้าสถานีตำรวจพร้อมระดับรองผู้กำกับการ และสารวัตรที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปราบปรามไปช่วยราชการไว้ก่อน
นายอมร วาณิชวิวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาวิจัย และพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทย กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบทำให้สถานการณ์ของปัญหาเรียกรับผลประโยชน์ดีขึ้น เพราะว่าเมื่อผ่านไปไม่นาน ตำรวจที่ถูกสั่งย้ายก็จะกลับมาทำงานตามปกติ ซึ่งจาการวิจัยที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่าการที่ตำรวจบางนายพยายามวิ่งเต้นเพื่อขอไปอยู่ในพื้นที่ทำเลทอง หรือ โรงพักเกรดเอ เพราะว่าผลประโยชน์จากสถานบันเทิง
เป็นที่ทราบกันดีว่า การจัดระดับสถานีตำรวจระดับดี หรือเรียกว่า โรงพักเกรดเอ หรือพื้นที่ทำเลทอง มักจะเป็นพื้นที่ที่มีสถานบันเทิงอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นสถานีตำรวจนครบาลสุทธิสาร, ห้วยขวาง, ทองหล่อ, ลุมพินี, บางรัก เป็นต้น ซึ่งตามความเป็นจริงการแบ่งระดับของโรงพักเกรดเอ จะต้องดูเรื่องปริมาณของคดีอาชญากรรม รวมถึงจำนวนประชากรที่พักอาศัย มีรายงานว่าในแต่ละเดือน สถานบันเทิงตามพื้นที่เหล่านี้มีรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน บางแห่งอาจจะมากกว่านั้น ซึ่งมักจะเป็นที่มาของวังวนของปัญหาส่วย ที่ผู้ประกอบการมักจะหยิบยื่น เพื่อแลกกับการทำผิดกฎหมาย