ไทยเข้มงวดเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสเมอร์ส-โควี

สังคม
5 มิ.ย. 58
08:12
229
Logo Thai PBS
ไทยเข้มงวดเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสเมอร์ส-โควี

ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ 2012 ไม่ได้แพร่กระจายในอากาศเหมือนกับโรคซาร์ แต่ติดได้ทางละอองน้ำลายและเสมหะ จึงไม่จำเป็นต้องสั่งห้ามเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรค แต่เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเดินทางในภูมิภาคอาเซียนก็ทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยง ส่วนมาตรการคัดกรองและป้องกันจะเน้นป้องกันการระบาดในโรงพยาบาล

การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ 2012 หรือ เมอร์ส-โควี ซึ่งขณะนี้พบผู้ติดเชื้อใน 10 ประเทศและมีแนวโน้มระบาดมายังประเทศแถบเอเชียมากขึ้น นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยง เพราะเป็นศูนย์กลางการเดินทางในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีทั้งผู้ที่เดินทางมาจากตะวันออกกลางโดยตรงและจากประเทศอื่นๆ

สำหรับมาตรการคัดกรองและป้องกันจะเน้นการป้องกันการระบาดในโรงพยาบาล ส่วนที่สนามบินมีการตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาอยู่แล้ว สามารถใช้ร่วมกันได้ พร้อมกันนี้ยังขอให้นักท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงเดินทางไปเมืองแดจอน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการระบาด ส่วนการดูแลผู้จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ อุมเราะห์ ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ไข้กาฬหลังแอ่น ก่อนเดินทาง 2 สัปดาห์และหลังจากกลับมาแล้วก็ต้องติดตามต่อเนื่อง 30 วัน

ศาสตราจารย์ นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โรคเมอร์ส-โควี ไม่ใช่โรคที่มีการค้นพบใหม่ โดยมีการติดต่อกันในประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งมีอูฐเป็นพาหะนำโรค

ลักษณะของการติดต่อเชื้อโรคจะไม่สามารถแพร่กระจายอยู่ในอากาศเหมือนกับโรคซาร์ แต่จะติดต่อกันโดยการสัมผัสละอองสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย เสมหะ และผู้สูงอายุมีโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตมากกว่าเด็กและคนวัยทำงาน เพราะปัจจุบันรักษาตามอาการและปล่อยให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายกำจัดเชื้อออกไปเอง

ทั้งนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะห้ามเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาด แต่ประชาชนต้องเตรียมพร้อมในการป้องกันตัวเอง โดยการกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลางและไม่ไปสัมผัสกับผู้ที่สงสัยว่ามีความเสี่ยง รวมถึงหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับอูฐและการดื่มนมอูฐ หากพบว่าตัวเองเป็นไข้ให้รีบเข้าพบแพทย์และบอกประวัติการเดินทางให้ทราบเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย

ขณะที่เจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ต้องเพิ่มการสังเกตผู้โดยสารภายในห้องผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ โดยเน้นกลุ่มผู้โดยสารที่เดินทางมาจากประเทศที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ 2012 หากพบว่ามีอาการหน้าแดงคล้ายคนเป็นไข้สูง ไอหรือจาม หอบหืด จะขอตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายและหากพบว่ามีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส จะแจ้งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ตรวจสอบอย่างละเอียด

ขณะเดียวกันได้เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่สาธารณะ รวมทั้งเพิ่มจุดให้บริการเจลทำความสะอาดบริเวณต่าง ๆ ภายในอาคารผู้โดยสาร น.อ.อ.วิสูธ จันทนา ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ท่าอากาศยานเชียงใหม่มีสายการบินที่บินตรงมาจากเมืองอินชอน เกาหลีใต้ สัปดาห์ละ 4 วันคือ วันพุธ วันพฤหัสบดี วันเสาร์และวันอาทิตย์


ข่าวที่เกี่ยวข้อง