"ดูเตอร์เต" สาบานตนรับตำแหน่ง ปธน. สัญญาจะทำให้ฟิลิปปินส์ดีขึ้นกว่าเดิม

ต่างประเทศ
30 มิ.ย. 59
22:45
433
Logo Thai PBS
"ดูเตอร์เต" สาบานตนรับตำแหน่ง ปธน. สัญญาจะทำให้ฟิลิปปินส์ดีขึ้นกว่าเดิม
นายโรดริโก ดูเตอร์เต ประกาศในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งผู้นำฟิลิปปินส์ในวันนี้ ว่า จะพัฒนาประเทศให้ดีขึ้นกว่าเดิม ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุนหลายร้อยคนร่วมเดินขบวนในกรุงมะนิลาเรียกร้องให้ผู้นำคนใหม่รักษาคำมั่นตามที่ได้หาเสียงเอาไว้

วันนี้ (30 มิ.ย.2559) ชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากรวมตัวกันใกล้กับทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงมะนิลา เพื่อแสดงพลังสนับสนุนนายโรดริโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนใหม่ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ปฏิบัติตามคำมั่นที่ได้หาเสียงเอาไว้ ซึ่งรวมถึงการปล่อยตัวนักโทษการเมือง การปฏิรูปที่ดินและการจัดการเจรจาสันติภาพรอบใหม่กับกลุ่มแนวหน้าปลดปล่อยอิสลามโมโร (MILF)

ขณะที่นายดูเตอร์เตประกาศว่า จะต้องเร่งขจัดปัญหาอาชญากรรมและการทุจริตโดยเร็ว เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่บ่อนทำลายประเทศ ขณะเดียวกันจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ส่วนรวม รวมทั้งให้ความช่วยเหลือและดูแลผู้ที่ด้อยโอกาสและยากจน ซึ่งเหล่านี้เป็นคุณค่าที่ขาดหายไปและต้องได้รับการฟื้นฟูเพื่อทำให้ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่ดีขึ้นกว่าเดิม

นายดูเตอร์เตชนะการเลือกตั้งระดับชาติของฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 9 พ.ค.2559 ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย เขาได้เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของฟิลิปปินส์ ท่ามกลางความหวังของประชาชนที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในประเทศ และกระแสคัดค้านแนวทางการดำเนินนโยบายที่เด็ดขาด ซึ่งหลายฝ่ายเกรงว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

นายดูเตอร์เต วัย 71 ปี ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองดาเวาบนเกาะมินดาเนาทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์มานานกว่า 2 ทศวรรษ มีผลงานโดดเด่นในการปราบปรามอาชญากรรมและปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด จนเมืองดาเวาได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีความปลอดภัยมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก ซึ่งเขารับปากว่าจะกวาดล้างอาชญากรรมให้หมดไปจากประเทศภายในเวลา 6 เดือน ด้วยการสังหารอาชญากร รวมถึงนำโทษประหารชีวิตกลับมาบังคับใช้ หลังจากถูกยกเลิกไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

ตั้งแต่ช่วงการหาเสียงจนกระทั่งชนะการเลือกตั้ง นายดูเตอร์เตเน้นย้ำถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดที่เด็ดขาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่สนใจว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เขาบอกว่า ที่ผ่านมาการปราบปรามยาเสพติดทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากมาย ถ้าหากใครมีเพื่อน ลูกหลานหรือญาติพี่น้องที่ติดยาเสพติด ขอให้ไปเตือนพวกเขา ว่าผมจะไม่ยอมอ่อนข้อให้อย่างเด็ดขาด

นโยบายที่เด็ดขาดนี้เองที่นำมาซึ่งเสียงสนับสนุนมหาศาล ส่งผลให้นายดูเตอร์เตชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงมากกว่า 16.6 ล้านเสียง หรือ คิดเป็นร้อยละ 39 ของจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมดกว่า 55 ล้านคน แต่ขณะเดียวกัน ก็ทำให้ผู้นำคนใหม่ของฟิลิปปินส์ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน และสร้างความกังวลให้หลายฝ่าย ว่าอาจเกิดการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จของผู้นำ เช่นที่เคยเกิดขึ้นในสมัยอดีตผู้นำเผด็จการ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส

รานจิต ไรย์ ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยแห่งฟิลิปปินส์มองว่า ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นายดูเตอร์เตได้รับความนิยม ประชาชนต่างชื่นชมบุคลิกที่ดุดันแข็งแกร่งของเขา ซึ่งต่อไปภาระก็จะตกอยู่ที่ตัวดูเตอร์เตเอง ว่าจะเติมเต็มความคาดหวังของชาวฟิลิปปินส์ได้หรือไม่

เขาบอกว่า ดูเตอร์เตจะแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำมาก่อน เขาจะจัดการกับขบวนการผิดกฎหมายและผู้มีอำนาจที่ชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งในรัฐบาลและในกลุ่มผู้รักษากฎหมาย ซึ่งแน่นอนว่าหลายฝ่ายกังวลว่า ผลลัพธ์ของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจจะอยู่เหนือการควบคุม

ขณะเดียวกัน นายเบนิกโน อาคิโน อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ซึ่งก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำประเทศหลังดำรงตำแหน่งครบวาระ 6 ปี ก็ได้ฝากผลงานการปราบปรามการทุจริตและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างก้าวกระโดด ซึ่งตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์มีอัตราการขยายตัวถึงร้อยละ 6 จุด 2 กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมากที่สุดในภูมิภาค

ขณะที่ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของฟิลิปปินส์ยังปรับตัวขึ้นจากเดิมที่ระดับ 3,300 จุด เมื่อปี 2553 หลังนายอาคิโนเข้ารับตำแหน่ง มาอยู่ที่ระดับกว่า 7 พัน 600 จุดในปัจจุบัน ภายใต้การบริหารประเทศของนายอาคิโนและรัฐบาลฟิลิปปินส์ที่เพิ่งจะหมดวาระลง

ริชาร์ด เฮย์ดาเรียน นักวิเคราะห์ด้านการเมืองชาวฟิลิปปินส์ ระบุว่า นอกจากการแก้ไขปัญหาการทุจริต รัฐบาลอาคิโนทำให้ฟิลิปปินส์กลับมาเป็นที่สนใจในสายตานักลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง เขาบอกว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่านายอาคิโนประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศ เขาส่งต่อภารกิจในการบริหารประเทศสู่มือผู้นำคนใหม่ด้วยสภาพเศรษฐกิจในระดับมหภาคที่ดีที่สุดในรอบกว่าครึ่งศตวรรษ

นอกจากผลงานที่เด่นชัดในการปราบปรามการทุจริตและการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลฟิลิปปินส์ชุดที่แล้วยังได้ยื่นเรื่องต่อศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศในกรณีการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ในทะเลจีนใต้ของจีน ซึ่งนับเป็นการท้าทายมหาอำนาจครั้งใหญ่ เพื่อยืนหยัดปกป้องอธิปไตยและสิทธิเหนือน่านน้ำของประเทศ

ด้วยแนวนโยบายและการให้ความสำคัญในประเด็นปัญหาที่แตกต่างกันของผู้นำทั้งสองคน ฟิลิปปินส์อาจต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายใต้การบริหารงานของผู้นำฝีปากกล้าอย่างนายดูเตอร์เต ซึ่งจะต้องพิสูจน์ความสามารถว่าจะดำเนินการตามที่สัญญาไว้ได้หรือไม่ ภายในเวลาอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง