เพียงไม่กี่นาทีหลังกดแอพลิเคชั่นเรียกใช้บริการ "แท็กซี่อูเบอร์" รถยนต์ส่วนบุคคลก็มาถึงซึ่งหน้าคนขับ เลขทะเบียนและรุ่นของรถ ตรงกับที่แสดงบนแอพลิเคชั่นภายในรถแท็กซี่อูเบอร์ไม่มีมิเตอร์เหมือนรถแท็กซี่ทั่วไป แต่ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน ซึ่งลงโปรแกรมเฉพาะคำนวณค่าโดยสาร ตามระยะทางจริง พร้อมกับเป็นช่องทางสื่อสาร ระหว่างอูเบอร์กลางและผู้ใช้บริการ
คนขับรถแท็กซี่อูเบอร์ เล่าว่า ตัวเองประสบปัญหาทางการเงินจึงต้องออกมาขับรถหาเลี้ยงชีพมีรายได้ประมาณวันละ 1,000-2,000 บาท แต่รายได้นี้ส่วนนี้จะถูกบริษัทหักออกร้อยละ 20 ของยอดเรียกเก็บ ซึ่งอูเบอร์อ้างว่า เป็นค่าบริหารจัดการแอพลิเคชั่นและจ่ายภาษี จึงไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังทำงานผิดกฎหมาย ส่วนกรณีคลิปคนขับอูเบอร์ทำร้ายผู้โดยสารนั้นเชื่อว่าไม่กระทบภาพลักษณ์แท็กซี่อูเบอร์ เพราะกรณีดังกล่าวเป็นปัญหารายบุคคล และมั่นใจในระบบรักษาความปลอดภัยทั้งคนขับและผู้โดยสาร
สอดคล้องกับ อนุสรา ชูชื่น ผู้ใช้บริการแอพลิชั่นเรียกรถแท็กซี่ส่วนบุคคลบางส่วน กล่าวว่า ยังคงเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ส่วนบุคคลต่อไป แม้จะรู้ว่าบริการดังกล่าวยังผิดกฎหมาย เพราะคนขับไม่ได้ใช้ใบขับขี่รถสาธารณะและไม่ผ่านการรับรองจากกรมขนส่งทางบก เพราะสะดวก รู้สึกปลอดภัย และไม่ต้องถูกปฏิเสธเหมือนรถแท็กซี่ทั่วไป
ขณะที่นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบกต้องการให้ประชาชนใช้บริการรถโดยสารสาธารณะที่ถูกกฎหมาย เนื่องจากจะได้รับการคุ้มครอง เช่น กรณีผู้โดยสารถูกทิ้งก่อนถึงที่หมายที่ตกลงกันจะถูกปรับ 5,000 บาท หากกระทำผิดซ้ำซาก อาจถูกยึดใบอนุญาต เป็นต้น แต่กรณีของอูเบอร์เป็นการให้บริการที่ผิดกฎหมาย และที่ผ่านมากรมการขนส่งทางบกสั่งระงับการให้บริการ เนื่องจากขัดต่อกฎหมาย
ก่อนหน้านี้ บริษัทอูเบอร์ ได้พยายามหารือร่วมกับกระทรวงคมนาคมหลายครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้ายคือเดือนพฤษภาคม โดยอูเบอร์ขอให้กระทรวงคมนาคม พิจารณาปรับแก้ไขกฎหมายของกรมการขนส่งทางบก แต่การหารือไม่มีความคืบหน้า แต่ยังคงเปิดให้บริการ และจำนวนสมาชิกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง