นายกฯ ชี้นายทุน-นักการเมืองหนุนหลัง “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” จ่อรื้อทั้งระบบ

การเมือง
30 ก.ย. 59
20:42
982
Logo Thai PBS
นายกฯ ชี้นายทุน-นักการเมืองหนุนหลัง “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” จ่อรื้อทั้งระบบ
นายกฯ เผยนายทุนและนักการเมือง อยู่เบื้องหลัง “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” กดดันด้วยการยึดพาสปอร์ตให้นักท่องเที่ยวซื้อโปรแกรมทัวร์เสริม ชี้กระทบภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย ประสานหน่วยงานท่องเที่ยวจีนเร่งแก้ปัญหา

ชวนชมสารคดีเฉลิมพระเกียรติ “สายธารพระราชไมตรี”

วันนี้ (30 ก.ย.2559) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี ในปี พ.ศ.2559 นี้ ซึ่งยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์โลก รัฐบาลโดยบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในฐานะสื่อของรัฐ ได้จัดทำสารคดีเฉลิมพระเกียรติชุดยิ่งใหญ่ “สายธารพระราชไมตรี” นำเสนอพระราชกรณียกิจด้านการต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในการเปิดตัวประเทศไทยต่อประชาคมโลกและเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2502 รวมทั้งสิ้น 29 ประเทศทั่วโลก ทั้งในทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกา ทวีปยุโรปและทวีปออสเตรเลีย เพื่อให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติได้ประจักษ์ในพระอัจริยภาพและพระราชจริยวัตรอันงดงามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงสร้างความประทับใจแก่ชาวโลกและทรงได้รับการถวายการต้อนรับจากผู้นำของแต่ละประเทศอย่างสมพระเกียรติ

สารคดีชุดนี้ใช้เวลากว่า 2 ปี ในการรวบรวมข้อมูลและหลักฐานต่างๆ ทั้งภาพถ่าย ภาพวาด ภาพเคลื่อนไหว ตลอดจนสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทีมงานเดินทางตามรอยพระยุคลบาทครบทุกประเทศ ทุกเมืองและทุกสถานที่ นับได้ว่าเป็นผลงานทางประวัติศาสตร์ จึงอยากให้คนไทย รวมทั้งเยาวชนและคนรุ่นใหม่ได้ชม เนื่องจากปัจจุบันหาดูได้ยาก กำหนดออกอากาศ 52 ตอน ตอนละ 20 นาที ทางช่อง 9 MCOT HD ทุกวันเสาร์ เวลา 19.40-20.00 น. เริ่ม 24 ก.ย.2559-16 ก.ย.2560 และทาง MCOT Family ทุกวันศุกร์ เวลา 14.00-14.20 น. เริ่ม 30 ก.ย.2559-22 ก.ย.2560

ทั้งนี้ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับประเทศต่างๆ และนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยน แบ่งปัน ช่วยเหลือและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การศึกษา ศิลปะวัฒนธรรม ตลอดจนการท่องเที่ยวมาจนถึงปัจจุบัน

การเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญครั้งที่ 71 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ที่ผ่านมา มีผู้นำประเทศหลายคนแสดงน้ำใจและสอบถามเกี่ยวกับพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งเห็นว่าชาวต่างชาตินั้นมีความเข้าใจและรับรู้ถึงความสำคัญและความผูกพันของสถาบันพระมหากษัตริย์กับพสกนิกรชาวไทย รวมทั้งบทบาทของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ เช่น เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ ถวายรางวัล “ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์” ตามโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme : UNDP) ซึ่งได้รับการกล่าวขานและยกย่องมาจนถึงปัจจุบัน ว่าหลักปรัชญาของ “เศรษฐกิจพอเพียง” มีคุณูปการต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ทำให้นานาประเทศตื่นตัวในการปรับรูปการพัฒนาภายใต้แนวคิดใหม่นี้ บ่งชี้ถึงแนวทางการพัฒนาที่เน้นความสมดุล ความพอประมาณและความมีเหตุผล ประกอบกับสำนึกในคุณธรรมและการมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอจะต้านทานและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ จากกระแสโลกาภิวัตน์ นับเป็นหลักการสำคัญที่รัฐบาลปัจจุบันน้อมนำมาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินตลอด 2 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งเป็นแนวทางแก้ปัญหาของประเทศและประชาคมโลกที่สร้างความยั่งยืน เช่น ปัญหาผู้หนีภัยและการเคลื่อนย้ายที่ไม่ปกติ ปัญหาโลกร้อนและปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย (IUU)

 

รัฐตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนใช้พลังงานทดแทน 30%

มีเรื่องที่น่ายินดีเป็นความสำเร็จของประเทศ เกี่ยวกับ “การพัฒนาพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน” โดยชื่นชมกลุ่มผู้ประกอบการด้านพลังงานที่สามารถคว้ารางวัล ASEAN Energy Awards 2016 ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซี่ยนด้านพลังงาน ครั้งที่ 34 ณ ประเทศเมียนมา 16 รางวัล จากทั้งหมด 47 รางวัล ซึ่ง “มากที่สุด” ในกลุ่มประเทศอาเซียนและครองแชมป์ได้รับรางวัลมากที่สุด12 ปี ติดต่อกัน ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งในมาตรการของรัฐบาล เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกภาคส่วน "หนุนพลังงานสีเขียว" สร้างพลังงานทดแทนและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยความสมัครใจในรูปแบบต่างๆ สอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการ “ก้าวเข้าสู่สู่สังคมสีเขียว ด้วยพลังงานสะอาด” ภายใต้แผนปฏิบัติการพลังงานในกรอบของอาเซียน ซึ่งกำหนดเป้าหมายในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ปัจจุบัน รัฐบาลปรับปรุงแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579 กำหนดเป้าหมาย “เพิ่มสัดส่วน” ในการใช้พลังงานทดแทนเป็นร้อยละ 30 ของการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย ในปี 2579 และแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2558-2579 ที่ตั้งเป้า “ลดสัดส่วน” การใช้พลังงานต่อ GDP ของประเทศ อย่างน้อยร้อยละ 30 ภายใน 20 ปีข้างหน้า เพื่อให้รองรับการที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงปารีส ตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP21) ซึ่งแต่ละประเทศได้ตกลงร่วมกันว่าจะมุ่งมั่นในการรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส รวมทั้งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกในอนาคต

 

กทม.ผงาดแชมป์เมืองนักท่องเที่ยวมาเยือนมากสุด

อีกเรื่องที่น่ายินดี คือผลการสำรวจสุดยอดจุดหมายปลายทางโลก โดย Master Card ประจำปี 2559 ที่จัดอันดับให้กรุงเทพฯ ขึ้นอันดับ 1 เมืองที่มีผู้เดินทางมาเยือน “มากที่สุดในโลก” หลังจากอยู่ในอันดับ 2 มา 2 ปีติดต่อกัน ปีที่ผ่านมากรุงเทพฯ ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเกือบ 22 ล้านคน มากกว่ากรุงลอนดอนซึ่งเป็นแชมป์เมื่อปีที่แล้วและกรุงปารีสที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนเกือบ 20 ล้านคน

จุดเด่นของกรุงเทพฯ คือ ตำแหน่งที่ตั้งซึ่งเป็น HUB ของประเทศและภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว สินค้า อาหาร วัฒนธรรม ความบันเทิงและการเดินทางที่สะดวก อย่างไรก็ตาม ตนเองยังเห็นโอกาสในการพัฒนาเพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จเชิงคุณภาพควบคู่ปริมาณ เช่น การสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวใช้เวลาท่องเที่ยวให้นานขึ้น มีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงขึ้น รวมทั้งพัฒนามาตรฐานของแหล่งท่องเที่ยว การบริการ การอำนวยความสะดวก การดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว

นอกจากนี้ ขอขอบคุณชาวกรุงเทพฯ ขอนแก่น และชาวไทยทุกคนที่ร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดีในโอกาสที่ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลอง “วันท่องเที่ยวโลก 2559” ระหว่างวันที่ 26-29 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้นำอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจาก 157 ประเทศทั่วโลกเดินทางมาประชุมและเฉลิมฉลอง

 

พบนายทุน-นักการเมืองหนุนหลัง“ทัวร์ศูนย์เหรียญ”

ในปีนี้ รัฐบาลตั้งเป้าสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัญหาในเรื่อง “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ซึ่งเป็นปัญหาด้านการท่องเที่ยวในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งเป็นปัญหาในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยมากว่า 40 ปี ซึ่งเป็นทัวร์ที่บริษัทนำเที่ยวในต่างประเทศ นำนักท่องเที่ยวจากประเทศตนเองมาท่องเที่ยวในไทยผ่านบริษัทนำเที่ยวในไทย โดยบริษัทที่ส่งนักท่องเที่ยวมานั้นไม่ได้จ่ายค่าทัวร์แฟร์ (Tour Fair) ได้แก่ ค่าโดยสาร ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าทัวร์ และอื่นๆ ให้กับบริษัทนำเที่ยวของไทย

มีการจัดโปรแกรมทัวร์โดยการพานักท่องเที่ยวไปช้อปปิ้งในร้านค้าที่เป็น “นอมินี” เช่น ร้านจิวเวอร์รี่ เครื่องหนัง งานศิลปหัตถกรรมและอื่นๆ ซึ่งโก่งราคาสินค้าสูงกว่าความเป็นจริง 10–100 เท่า การใช้บริการที่พัก โรงแรม ร้านอาหาร รถโดยสารที่เป็นเครือข่ายเดียวกับบริษัททัวร์จากประเทศต้นทาง ซึ่งมีผู้มีอิทธิพลสนับสนุนทั้งในวงการธุรกิจและการเมือง รวมทั้งการจัดโปรแกรมทัวร์เสริม บังคับให้ซื้อทัวร์เพิ่มเติม เช่น ล่องแพ ขี่ช้าง ด้วยวิธีการกดดัน เช่น ยึด Passport ปิดแอร์รถ จอดรถจนกว่าจะยอมทำตามข้อตกลง หรือทิ้งลูกทัวร์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่งผลเชิงลบโดยตรงต่อธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร ผู้ประกอบการ ท่องเที่ยว นำเที่ยว ร้านขายสินค้าที่ระลึกของไทย เนื่องจากมีการตั้งบริษัทนอมินีมาทำธุรกิจเหล่านั้นแทน ทำให้ประเทศไม่ได้รับรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ อีกทั้งส่งผลกระทบข้างเคียง เช่น นักท่องเที่ยวไม่ต้องการมาเที่ยวไทยอีกภายหลังไม่ได้รับการดูแลและถูกเอาเปรียบ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยไม่ได้รับค่าทัวร์แฟร์จนแบกรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหวและอาจต้องปิดกิจการ รวมถึงสร้างความเสื่อมโทรมให้กับแหล่งท่องเที่ยวและทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยวไม่ได้

ปัจจุบัน รัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหา “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ด้วยการบังคบใช้กฎหมายของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างตรงไปตรงมา เพื่อความถูกต้อง เช่น พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551 ระเบียบคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ว่าด้วยมาตรฐานการประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ฯ พ.ศ.2556 รวมทั้งบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านความมั่นคง ด้านกฎหมาย ด้านการต่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร ด้วยการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมการท่องเที่ยว กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทยและสมาคมผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย–จีน เพื่อให้ปัญหา “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด

สำหรับแนวทางแก้ไข มีดังนี้ 1.การกำหนดราคากลางขายทัวร์ที่เป็นธรรมกับนักท่องเที่ยวจีน โดยกำหนดต้นทุนที่ชัดเจนตามกลไกตลาดเป็นการชั่วคราว ระหว่างที่รอกฎหมายลูก ซึ่งจะกำหนดราคาขั้นต่ำของทัวร์ภายในปลายปีนี้ 2.ควบคุมการให้บริการนักท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพ เช่น การกำหนดแบบรถทัวร์ คุณสมบัติไกด์ทัวร์ รูปแบบของร้านค้าที่บริษัททัวร์นำนักท่องเที่ยวไปซื้อของได้ 3.จัดทำโมเดลเส้นทางท่องเที่ยวมาตรฐาน โดยระบุสิ่งที่ทำได้และสิ่งที่ห้าม 4.ตรวจสอบทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ โดยเพิ่มเติมการตรวจสอบในเชิงลึก โดยเฉพาะกรณีที่มีชาวต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทลูกข่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องการเสียภาษีและการฟอกเงิน 5.มาตรการในระดับยุทธศาสตร์ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศต้นทาง โดยได้พูดคุยสร้างความเข้าใจ เพื่อแสวงหาความร่วมมือกับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศจีน (CNTA) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมขอความร่วมมือจากนักธุรกิจไทย โดยจัดทำบันทึกลงนามความเข้าใจ (MOU) เพื่อการทำงานเชิงรุกร่วมกันในอนาคต

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง อาจส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวในระยะสั้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน แต่ก็เพื่อรักษาภาพลักษณ์และคุณภาพของการท่องเที่ยวของไทย ที่สำคัญคือการจัดระเบียบทางสังคมเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายและส่งเสริมให้การท่องเที่ยวของไทยยั่งยืน เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ


รัฐดันโครงการลดหนี้-หนุนเกษตรกรรุ่นใหม่

ส่วนมาตรการดูแลประชาชน เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลกำหนดให้มีการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรกรรายย่อย โดยมอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินการ 2 มาตรการหลัก คือ มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ระหว่างวันที่ 15 ก.ค.-15 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากหน่วยงานราชการแล้ว ธ.ก.ส. จะโอนเงินเข้าบัญชีให้แก่เกษตรกรโดยตรง เป็นเงิน 3,000 บาทต่อคน สำหรับผู้ที่ไม่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี และ 1,500 บาทต่อคน สำหรับผู้มีรายได้มากกว่า 30,000-100,000 บาทต่อปี รวมปัจจุบันผู้มีสิทธิทั้งสิ้น 2.85 ล้านคน

มาตรการต่อไปคือมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย ผ่านระบบ ธ.ก.ส. เพื่อบรรเทาภาระหนี้สินให้กลับมาทำการผลิตต่อไปได้ และสนับสนุนเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เป็นทายาทให้เข้ามาทดแทนเกษตรกรรุ่นเก่าที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ กลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกรรายย่อยที่มีหนี้สินต้นเงินกู้รายละไม่เกิน 300,000 บาท ประมาณ 3,000,000 ราย ที่จะดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2559-31 มี.ค.2561 แบ่งเป็น 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ “ปลดเปลื้อง” หนี้สินให้เกษตรกรที่มีเหตุผิดปกติ เช่น เสียชีวิต พิการ ทุพพลภาพ เจ็บป่วยเรื้อรัง โครงการปรับปรุโครงสร้างหนี้ และโครงการลดภาระหนี้สินให้เกษตรกรที่มีวินัยและประวัติการชำระหนี้ดี โดย ธ.ก.ส. จะคืนดอกเบี้ยในส่วนที่ลูกค้าส่งชำระระหว่างวันที่ 1 พ.ย.2559-31 ต.ค.2560 ในอัตราร้อยละ 30 ของจำนวนดอกเบี้ยที่ชำระ

สำหรับตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ประจำเดือนกันยายน 2559 ที่ผ่านมานั้น เป็นตลาด “เกษตรดิจิทัล” ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีคนมาวันละ 8,000-9,000 คน บางวันมากกว่า 10,000 คน ผู้ประกอบการบางคนปลดหนี้ได้ บางคนพัฒนาต่อยอดจนมีเงินไปสร้างโรงงานเล็กๆ มีคนงานมากขึ้น โดยมี SME Bankใ ห้ความรู้ในการจัดทำแผนธุรกิจ นอกจากนี้ มีหลายกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น การสอนนุ่งผ้าซิ่น-ผ้าไทยให้ดูสวย ทันสมัย

ส่วนเดือนตุลาคมนี้ กระทรวงคมนาคมกำหนดจัดงานตลาด “คลองผดุงสุขใจ คมนาคม เชื่อมไทย เชื่อมโลก” ระหว่างวันที่ 5-25 ตุลาคม ไม่เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 10.00-19.00 น. นอกจากจะมีสินค้าจำนวนมากแล้ว ยังมีบูธบริการของกรมขนส่งทางบก ให้บริการเกี่ยวกับใบอนุญาตต่างๆ และชำระภาษี การจำหน่ายบัตรโดยสารราคาพิเศษ ทั้งเครื่องบิน รถไฟ รถไฟฟ้า ทางด่วน เรือท่องเที่ยว รวมทั้งนิทรรศการด้านความปลอดภัยในการเดินทางและโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทุกระบบ

 

ขอความร่วมมือผู้ค้าไม่ฉวยโอกาสขึ้นราคาช่วงกินเจ

สัปดาห์หน้าช่วงวันที่ 1-9 ต.ค.นี้ เป็นช่วงเทศกาลเจ ซึ่งไม่ใช่เพียงการไม่กินเนื้อสัตว์และหันมากินพืช ผัก ผลไม้ เพื่อให้กระเพาะได้พักจากการย่อยเนื้อสัตว์มารับวิตามินเข้าไปเสริมสร้าง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ ช่วยการระบายเท่านั้น แต่คนที่กินเจยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาด งดงามทั้งกาย วาจา ใจ เป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกัน การถือศีลกินเจนั้นเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง อิ่มเอิบทั้งร่างกายและจิตใจ จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาช่วยกันทำเพื่อตัวเอง ชำระร่างกายและจิตใจ ด้วยการกินเจช่วง 9 วัน 9 คืน นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการกินผักและสนับสนุนสินค้าเกษตรกร พร้อมขอความร่วมมือพ่อค้าแม่ค้าในการรักษาระดับสินค้าและราคาอย่าให้สูงมากนัก โดยให้เป็นตามกลไกตลาดปกติ อย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาในช่วงดังกล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง