กรมอนามัยแนะวิธีซื้อเสื้อผ้าสีดำมือ 2 ให้ปลอดภัย ชี้ก่อนใส่ควรต้มฆ่าเชื้อโรคนาน 1 ชม.

สังคม
25 ต.ค. 59
15:33
3,498
Logo Thai PBS
กรมอนามัยแนะวิธีซื้อเสื้อผ้าสีดำมือ 2 ให้ปลอดภัย ชี้ก่อนใส่ควรต้มฆ่าเชื้อโรคนาน 1 ชม.
กรมอนามัยย้ำเสื้อผ้าสีดำเก่าเก็บนานต้องซักทำความสะอาดก่อนใส่ ส่วนผ้าสีดำมือสองควรเลือกซื้อจากร้านที่เชื่อถือได้เรื่องความสะอาด เมื่อซักแล้วควรนำมาต้มฆ่าเชื้อโรคนาน 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดโรคผิวหนังและเกิดภูมิแพ้

วันนี้ (25 ต.ค. 2559) น.พ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การใส่ชุดสีดำเพื่อแสดงความอาลัย หรือเดินทางไปถวายสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ รวมถึงการเข้าเฝ้าฯ กราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 29 ต.ค. ที่จะถึงนี้ พบว่าประชาชนนำเอาเสื้อผ้าเก่าที่เก็บไว้นานแล้วกลับมาใช้ ขณะที่บางคนเลือกซื้อเสื้อผ้ามือสองที่ราคาย่อมเยากว่า รวมถึงการรับบริจาคจากผู้อื่น

“จึงอยากให้ประชาชนระวังเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ เพราะอาจมีเชื้อโรคหรือพาหะนำโรคติดมากับเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงเสี่ยงต่อการเกิดโรคกลากเกลื้อนจากเชื้อรา บางรายผิวหนังอาจเป็นผื่นแดงกลายเป็นผื่นแพ้และคัน รวมถึงโรคภูมิแพ้ซึ่งเกิดได้หลายกรณี ทั้งจากฝุ่นใยผ้าและฝุ่นที่ติดตามกระสอบบรรจุระหว่างการขนส่ง หรือแม้แต่การแพ้น้ำยารีดผ้าเรียบเข้มข้นสูงที่ใช้รีดก่อนจำหน่าย ซึ่งอาจทำให้ผิดหนังระคายเคือง ขณะที่พาหะนำโรคที่ชอบอาศัยอยู่ในใยผ้าสกปรก ได้แก่ เห็บ หมัด และโลน เมื่อสัมผัสผิวหนังทำให้เกิดอาการคันเป็นตุ่มแดงนูน และเกาจนเกิดเป็นแผลติดเชื้อได้” อธิบดีกรมอนามัยระบุ

นพ.วชิระ กล่าวต่ออีกว่า หากต้องซื้อเสื้อผ้าสีดำมือสอง ควรเลือกซื้อเสื้อผ้าจากร้านที่สะอาดปลอดภัย ไม่วางเสื้อผ้ากองไว้กับพื้น ไม่แขวนเสื้อผ้าติดกันจนแน่น ขณะเลือกซื้อควรสวมผ้าปิดปากจมูกเพื่อป้องกันการสูดฝุ่นละอองที่มากับเสื้อผ้า ตรวจสอบรอยด่างดำ รอยคราบสารคัดหลั่ง รวมถึงไม่มีกลิ่นอับชื้น ที่สำคัญที่สุดคือการทำความสะอาดก่อนนำเสื้อผ้ามือสองมาใช้ โดยให้ซักทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้า แล้วนำมาต้มในน้ำเดือดนานประมาณ 15 นาที ถึง 1ชั่วโมง จากนั้นนำไปตากแดดจัดให้แห้ง แล้วนำมารีดทั้งข้างในและข้างนอกเพื่อฆ่าเชื้อโรค แมลง หรือสัตว์นำโรคต่างๆ ส่วนผู้ที่ผิวหนังมีอาการคันหลังใช้เสื้อผ้ามือสอง ไม่ควรแคะ แกะเกา หรือปล่อยไว้จนลุกลาม ควรรีบไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธีต่อไป

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง