"โดนัลด์ ทรัมพ์" จากนักธุรกิจ สู่ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่

ต่างประเทศ
9 พ.ย. 59
10:25
2,288
Logo Thai PBS
"โดนัลด์ ทรัมพ์" จากนักธุรกิจ สู่ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่
หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จสิ้นและผลออกมาพลิกโผว่า นายโดนัลด์ ทรัมพ์ สามารถเอาชนะนางฮิลลารี คลินตันได้ และก้าวสู่การเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ต่อจากนายบารัค โอบามา

หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จสิ้นและผลออกมาพลิกโผว่านายโดนัลด์ ทรัมพ์ สามารถเอาชนะนางฮิลลารี คลินตัน ด้วยคะแนนเสียงกว่า 290 เสียง

โดนัลด์ ทรัมพ์ ถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกในฐานะของมหาเศรษฐีด้านอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา และยังเคยเป็นพิธีกรรายการเรียลลิตี้โชว์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และเมื่อก้าวเข้าสู่สนามการเมืองเป็นครั้งแรก เขาก็ประสบความสำเร็จ

โดนัลด์ ทรัมพ์ มีชื่อเต็มว่าโดนัลด์ จอห์น ทรัมพ์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2489 อายุ 70 ปี ในเขตควีนส์โบโร นครนิวยอร์ก เป็นบุตรคนที่ 4 ของนายเฟรด ทรัมพ์ เจ้าของบริษัทพัฒนาที่ดิน 'เอลิซาเบธ ทรัมพ์ แอนด์ ซัน' ปัจจุบันคือ ทรัมพ์ ออร์แกไนเซชั่น มารดาคือนางแมรี แอนน์

เมื่ออายุ 13 ปี ทรัมพ์ถูกส่งไปอยู่โรงเรียนทหาร 'นิวยอร์ก มิลิทารี อคาเดมี' เนื่องจากเริ่มมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทรัมพ์จบการศึกษาชันมัธยมปลายจากโรงเรียนแห่งนี้ จากนั้นศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย 'ฟอร์ดแฮม' เป็นเวลา 2 ปี ก่อนจะไปเข้าเรียนที่โรงเรียนธุรกิจ 'วาร์ตัน' ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ซึ่งในขณะนั้นเป็นหนึ่งในสถาบันเพียงไม่กี่แห่งในสหรัฐอเมริกาที่มีการสอนเรื่องอสังหาริมทรัพย์ โดยทรัมพ์จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2511


หลังจบการศึกษา งานแรกของโดนัลด์ ทรัมพ์ คือการทำงานในบริษัทของครอบครัว หนึ่งในโครงการแรกๆที่เขาได้รับมอบหมายคือการฟื้นฟูหมู่บ้าน สวิฟตัน ในเมืองซินซินนาติ ในรัฐโอไฮโอ ที่พ่อของเขาซื้อมาเมื่อปี 2505 แต่หมู่บ้านแห่งนี้กำลังจะปิดตัวลง ทรัมพ์ทำโครงการนี้ร่วมกับ เฟรด จูเนียร์ พี่ชาย และใช้งบประมาณ 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยในหมู่บ้านแห่งนี้เพิ่มจากร้อยละ 34 เป็นร้อยละ 100 ในเวลาไม่นาน

ทรัมพ์ กลายเป็นผู้สืบทอดกิจการของบิดาอย่างเต็มตัว ต่อมาเขาได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น 'ทรัมพ์ ออร์แกไนเซชั่น' ในปี 2514

ทรัมพ์ได้ขยายธุรกิจของครอบครัวไปทำโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในเมืองแมนฮัตตัน ผลงานชิ้นแรกของเขาคือการแปลงสภาพโรงแรมเก่า 'คอมโมดอร์ โฮเทล' ให้กลายเป็นโรงแรม 'แกรนด์ ไฮแอท นิวยอร์ก' ที่มีความทันสมัย และสร้าง 'ทรัมพ์ ทาวเวอร์' ตึกที่พักอาศัยสูง 68 ชั้นและอสังหาริมทรัพย์ของทรัมพ์หรือ Trump property อื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งไปสร้างโรงแรมในต่างประเทศอย่างนครมุมไบ ประเทศอินเดีย, นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี และฟิลิปปินส์ด้วย

นอกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้ว ทรัมพ์ยังสร้างอาณาจักรธุรกิจบันเทิงขึ้นมา โดยเป็นเจ้าของการจัดงานประกวดนางงามเวทีต่างๆ ทั้ง มิส ยูนิเวิร์ส, มิส ยูเอสเอ และมิส ทีน ยูเอสเอ บิวตี้ และในปี 2543 ทรัมพ์เปิดตัวรายการเรียลิตี้ 'ดิ แอพเพรนทิซ' (The Apprentice) ซึ่งให้ผู้เข้าแข่งขันประชันความสามารถเพื่อชิงตำแหน่งงานบริหารใน ทรัมพ์ ออร์แกไนเซชั่น เป็นรายการที่ได้รับความนิยมสูงและจัดต่อเนื่องถึง 14 ซีซั่น

อย่างไรก็ตาม ทรัมพ์เคยประสบปัญหาทางการเงินรุนแรงถึงขั้นถูกฟ้องล้มละลายทางธุรกิจโดยเมื่อปี 2531 จากการซื้อ 'ทัจ มาฮาล กาสิโน' โดยทรัมพ์ไม่สามารถจ่ายหนี้เงินกู้ได้ทันเวลา ทำให้ทรัมพ์ต้องขายทรัพย์สินหลายรายการ ได้แก่ สายการบินทรัมพ์ ชัตเติล และเรือยอชต์

สถานการณ์การเงินของทรัมพ์ฟื้นตัวหลังจากบิดาของเขาเสียชีวิตในปี 2542 โดยทิ้งพินัยกรรมแบ่งมรดกของเขาที่มีประมาณ 250-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่ลูกๆ โดยนิตยสาร 'ฟอร์บส์' ประเมินว่าทรัมพ์มีทรัพย์สินประมาณ 160,000 ล้านบาท แต่ทรัมพ์ยืนยันว่าเขามีทรัพย์สินประมาณ 360,000 ล้านบาท

นอกจากด้านธุรกิจแล้ว ชีวิตคู่ของทรัมพ์ก็เป็นเรื่องราวที่คนให้ความสนใจไม่น้อย เพราะทรัมพ์แต่งงานถึง 3 ครั้ง ซึ่งภรรยาของเขาทุกคนล้วนแต่เป็นดาราและนางแบบ ภรรยาคนแรกคือ อีวานา เซลนิกโควา นักกีฬาและนางแบบชาวเช็ก ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 3 คน

ต่อมาทรัมพ์หย่าขาดจากภรรยาคนแรกและไปแต่งงานกับมาร์ลา เมเปิลส์ และมีบุตรสาว 1 คน ส่วนภรรยาคนปัจจุบัน คือเมลาเนีย นางแบบสาวชาวสโลวีเนีย ทั้งคู่มีบุตรชาย 1 คน

ทรัมพ์ แสดงความสนใจที่จะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2530 และเคยลงชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคปฏิรูป (Reform Party) ลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2543 แม้จะแสดงความต้องการมานานกว่า 20 ปี แต่นายทรัมพ์เพิ่งประกาศเข้าร่วมศึกชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐอเมริกา สังกัดพรรคริพับลิกัน อย่างเป็นทางการเมื่อเดือน มิ.ย.ปีที่แล้ว (2559)

ในช่วงที่ผ่านมา ทรัมพ์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากการเสนอนโยบายต่างๆ ที่ถูกมองว่าสุดโต่ง เช่นการสร้างกำแพงกั้นบริเวณชายแดนประเทศเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกา เพื่อสกัดการลักลอบขนยาเสพติด หรือการห้ามชาวมุสลิมอพยพเข้าประเทศชั่วคราว จนกว่ารัฐบาลจะหาทางรับมือผู้ก่อการร้ายที่แฝงมากับผู้อพยพ แต่เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นก็เป็นที่ชัดเจนว่าเสียงส่วนใหญ่ของชาวสหรัฐฯ เลือกให้นายโดนัล ทรัมพ์เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ แทนที่นายบารัค โอบามา

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง