วันนี้ ( 25 พ.ย.2559) ตำรวจสถานีตำรวจภูธรสะเดาจังหวัดสงขลา ตั้งด่านตรวจสกัดเส้นทางสายรอง ที่เชื่อมระหว่างพื้นที่ตำบลสะเดา และ ตำบลปาดังเบซาร์ อ.สะเดา เพื่อสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยเฉพาะชาวโรฮิงญา ที่มักใช้อำเภอสะเดาเป็นเส้นทางหลบหนีเข้าเมือง ก่อนไปยังประเทศเพื่อนบ้านโดยเจ้าหน้าที่ เพิ่มมาตรการตรวจสอบรถยนต์ที่มีลักษณะต้องสงสัย อาทิ รถยนต์กระบะบรรทุกที่มีผ้าใบปิดท้าย รถแท็กซี่ รถตู้
ขณะที่จังหวัดสตูล เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคง เพื่อเตรียมรับมือการอพยพของชาวโรฮิงญา โดยเฉพาะด้านฝั่งทะเลอันดามัน เพื่อที่จะไปประเทศที่ 2 และ 3 โดยเฉพาะจุดที่เคยเป็นพื้นที่อพยพ จะเพิ่มจุดสกัดอีก 2 จุด คือที่ บ้านปิใหญ่ อำเภอละงู และ บ้านทุ่งมะปรัง อ.ควนโดน ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนติดประเทศมาเลเซีย
เช่นเดียวกับจ.กระบี่ และ พังงา ทหาร ตำรวจน้ำ รวมทั้งเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ ออกลาดตระเวณทางทะเล เข้าตรวจสอบตามหมู่เกาะ เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้ชาวโรฮิงญาเข้าพื้นที่
ส่วนที่จ.ระนอง ที่ท่าเทียบเรือสะพานปลา ตำบลปากน้ำ อ.เมือง ยังคงมีคนไทย ชาวเมียนมา รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้าออก ระหว่าง จ.ระนองและเกาะสอง ประเทศเมียนมาตามปกติ โดยเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังการเข้าเมืองผิดกฎหมาย รวมทั้งจัดชุดเฝ้าระวังและลาดตระเวนทางทะเล
โดยเวลา 13.00 น. องค์กรศาสนาอิสลามในจังหวัดปัตตานี จะร่วมละหมาดฮายัต หรือ ดูอาอ์เพื่อต่อต้านความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงต่อชาวโรฮิงญา
ทั้งวาจาและการกระทำคาดว่า จะมีผู้เข้าร่วมละหมาดเกือบ 1,000 คน
ทั้งนี้ สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติหรือยูเอ็นเอชซีอาร์ ประสานงานร่วมกับรัฐบาลมาเลเซีย ทำโครงการนำร่องให้ผู้อพยพชาวโรฮิงญาสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย ในขณะที่ชาวโรฮิงญาจำนวนมากยังคงเดินทางข้ามพรมแดนเข้าไปในบังคลาเทศเพื่อหนีการปราบปรามของกองทัพเมียนมา
ปัจจุบันที่มาเลเซียมีผู้อพยพชาวโรฮิงญา 150,000 คน และยื่นเรื่องขอเป็นผู้ลี้ภัยประมาณ 55, 000 คน ทั้งนี้ การปะทะกันรอบใหม่ระหว่างกองทัพเมียนมากับชาวโรฮิงญาปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้ชาวโรฮิงญากว่า 2 ,000 คนหลบหนีออกนอกประเทศ