ส่วนอีกเหตุผลก็ต้องยอมรับว่า..ยังคงฉายภาพให้เห็นถึงเสถียรภาพความมั่นคง รวมไปถึงสัมพันธภาพระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการคาดการณ์และวิเคราะห์ถึงแนวโน้มการปรับ ครม.และพร้อม ๆ กันนั้นก็มีกระแสข่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะขอลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้การพิจารณาปรับ ครม.เป็นไปอย่างอิสระ
แต่ก็มีข้อสังเกตว่า พล.อ.ประวิตร ตกเป็นเป้าโจมตีและเป็นกระแสข่าวลือเพราะมีอำนาจรับผิดชอบหลายด้าน โดยเฉพาะการกำกับดูแล ทั้งทหารและตำรวจ
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ยืนยันถึงศักยภาพที่จะทำหน้าที่ต่อไปได้และจากการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีมีแต่เรื่องงานและไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งจึงเชื่อว่าเป็นความพยายามของบางกลุ่ม ที่ต้องการทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาล
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความใกล้ชิดระหว่าง พล.อ.ประวิตร กับ พล.อ.ประยุทธ์ มีความแน่นแฟ้นมาโดยตลอดทั้งในบทบาทพี่ใหญ่ "บูรพาพยัคฆ์" ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงและในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาช่วยประคับประคองสถานการณ์รัฐบาล-คสช. โดยเฉพาะบทบาทการเชื่อมต่อระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับผู้นำเหล่าทัพ
แต่ขณะเดียวกันหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้ถูกมองว่าจะส่งผลถึงความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นระหว่างกันได้ ทั้งกรณีการเกิดเหตุระเบิดในภาคใต้หลายจุด หลังการออกเสียงประชามติ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ พล.อ.ประวิตร รับผิดชอบดูแลความมั่นคง และงานด้านการข่าวโดยตรงหรือการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา
มีกระแสข่าวว่า นายทหารที่ใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร หลายคนต้องพลาดตำแหน่ง รวมทั้งตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ที่ก่อนหน้านั้นคาดการณ์ว่า พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร จะได้รับการสนับสนุนจาก พล.อ.ประวิตร ให้ก้าวสู่ตำแหน่งนี้ แต่ปรากฎว่า พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท นายทหารรบพิเศษได้รับการแต่งตั้งในช่วงโค้งสุดท้าย
ด้วยวัย 72 ปี และเคยถึงขั้นต้องลาป่วย ในช่วงปลายเดือน ก.ค.2558 เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุล้ม ขณะออกกำลังกายจนต้องใส่เฝือกที่แขน แต่ พล.อ.ประวิตร ยังแสดงให้เห็นมาโดยตลอด ว่าพร้อมเป็นแรงหนุนในทุกด้านให้กับรัฐบาล-คสช. หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา