กรณีกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว และกลุ่มผู้ประกอบการเรือโดยสารบริการท่องเที่ยว จังหวัดกระบี่ กว่า 500 คน เรียกร้องให้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ลดอัตราค่าบริการสำหรับบุคคลชาวต่างชาติที่เข้าไปในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ จากปกติชาวต่างประเทศผู้ใหญ่ 400 บาท ให้ลดเหลือ 200 บาท และชาวต่างประเทศเด็ก 200 บาท ให้ลดเหลือ 100 บาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวใช้บริการลดลง ทำให้รายได้ลดลง
มติสรุปคงอัตราเดิมผู้ใหญ่ 400 บาทเด็ก 200 บาท
วันนี้ (28 ก.พ.2560) นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติ (PAC) มีข้อสรุปให้คงอัตราการจัดเก็บที่ราคาเดิมคือ 400 บาทสำหรับชาวต่างชาติผู้ใหญ่ และเด็ก 200 บาท แต่การจัดเก็บต้องโปร่งใส และใช้ระบบการจัดเก็บที่ทันสมัยและมีมตราฐาน รวมทั้งมีข้อเสนอเพิ่มเติมอีก 4 ประเด็น คือให้จัดระเบียบการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เช่น ควบคุมมาตรฐานและจำนวนเรือ ควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละแหล่งท่องเที่ยว
นอกจากนี้ให้ปรับเปลี่ยนระบบการจัดสรรงบประมาณที่ได้รับจากจัดเก็บค่าบริการเข้าอุทยานแห่งชาติให้กับท้องถิ่น ไม่ควรต่ำกว่าร้อยละ 15 โดยข้อเสนอให้จัดสรรกับจังหวัดโดยตรงเพื่อจังหวัดจะได้พิจารณาจัดสรรให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และต้องมีกรรมการพิจารณาที่มาจากกรมอุทยาน และองค์กรที่จดทะเบียนเป็นสมาคม และข้อเสนอสุดท้ายให้จัดเก็บค่าบริการที่มีมาตรฐานเดียวกัน หรือรวมค่าบริการในเขตอุทยานใกล้เคียงกันในลักษณะวันเดย์ทริป เช่น อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี –เกาะห้อง ของอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี
หารือ "กรมเจ้าท่า" คุมเรือหลังเพิ่มสูง 2,000 ลำ
อธิบดีกรมอุทยานฯบอกว่า หลังจากนี้ จะมีการพิจารณาภายในกรมอุทยานอย่างรอบคอบ ตามหลักความเหมาะสมอีกครั้ง แต่ยืนยันว่าทุกอุทยานฯยังต้องใช้มาตรฐานเดียวกันในการพืจารณาขึ้น หรือลดธรรมเนียม กรณีหมู่เกาะพีพี กรมอุทยานฯมีประกาศ ฉบับลงวันที่ 22 พ.ย. 2550 เรื่อง การกำหนดอัตราค่าบริการสำหรับบุคคลที่เข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งกำหนดค่าบริการสำ หรับบุคคลที่เข้าไปในอุทยานหมู่เกาะพีพี บริเวณเกาะทุกเกาะ อาทิ เกาะพีพีเล เกาะไม้ไผ่ เกาะยูง เกาะปิด๊ะ เกาะปอดะ ดังนี้ ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างประเทศ ผู้ ใหญ่ 400 บาท เด็ก 200 บาท ดังนั้นการจัดเก็บค่าบริการในอัตราดังกล่าว ได้มีการจัดเก็บมาตั้งปี พ.ศ. 2550 และไม่ได้มีการจัดเก็บเพิ่มเติม
“การจัดเก็บที่ผ่านมาไม่มีปัญหาอะไรเพราะเงินรายได้ที่จัดเก็บไม่ได้อยู่ที่อุทยาน แต่มีการแบ่งรายได้ร้อยละ 5 ไปให้กับท้องถิ่น หากมีการตั้งคำถามว่ากรม นำเงินรายได้ปีละหลายร้อยล้านบาทไปพัฒนาอะไร เรามีคำตอบทั้งการทำสาธารณูปโภครองรับตามแหล่งท่องเที่ยว และพัฒนาอุทยาน ส่วนของท้องถิ่นที่จัดสรรให้นไปทำอะไร กรมก็อยากรู้เหมือนกัน การที่ผู้ประกอบการเรียกร้องว่ามีนักท่องเที่ยวน้อย ไม่เป็นความจริง แต่ปัญหาตอนนี้อยู่ที่เรือที่ประ กอบขึ้นใหม่มีมากจาก 500 ลำเพิ่มเป็น 2000 ลำ และมีการตัดราคากันเอง ประโยชน์อยู่กับนายทุน ซึ่งเบื้องต้นหารือกับกรมเจ้าท่า และคมนาคมที่ออกใบอนุญาติเรือว่าอาจต้องมีการจัดระเบียบใหม่ ไม่ใช่ใครมีทุนก็ไปต่อเรือและได้รับใบอนุญาตมาวิ่งได้หมด เพราะต่อไปพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวจะมีการจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยว เพื่อคุมให้เหมาะสม จำนวนเรือก็ต้องมีความสัมพันธ์ด้วย” นายธัญญา ระบุ