ถ้าการประกาศลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ถือเป็นนับ 1 อย่างเป็นทางการ อาจจะหมายถึงจุดจบของการใช้รถยนต์ติดแก๊สแอลพีจีก็ว่าได้ ครั้งหนึ่งธุรกิจติดตั้งแก๊สในรถยนต์หรือการตั้งปั๊มแก๊ส เคยได้รับความนิยมสูง แต่เมื่อเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามา บวกกับราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาลง ผู้ประกอบการต้องงัดเอาสารพัดโปรโมชั่นมาใช้เพื่อดึงดูดลูกค้ามากขึ้น
เเม้จะยังมีรถยนต์ติดแก๊สเข้าออกอู่รถแห่งนี้เป็นระยะ เเต่เป็นเพียงการเข้ามาเช็คระบบเเก๊สเท่านั้น นายชัยยุทธ อัมราลิขิต เจ้าของร้านติดตั้งเเก๊สยอมรับว่า ราคาน้ำมันขาลงบวกกับนโยบายสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ทำให้ความต้องการติดตั้งเครื่องยนต์ที่ใช้เเก๊สเเอลพีจีหายไป ทางร้านจึงต้องปรับตัวหันมาให้บริการตรวจเช็คระบบแก๊ส และขายอุปกรณ์ประกอบเครื่องยนต์แทน
เช่นเดียวกับบริษัทรับตั้งแก๊สรายนี้ที่ยอมรับว่าแม้จะปรับราคาการตั้งแก๊ส ทั้งแอลพีจี และ เอ็นจีวี ลงมา ก็ยังไม่มียอดติดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น ไม่ต่างจากปั๊มแก๊สริมถนนวิภาวดีแห่งหนึ่งที่ยอมรับว่ายอดขายเเก๊สลดลงมาจากปีที่เเล้วอย่างเห็นได้ชัด บางเดือนยอดขายไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทางร้านต้องหาโปรโมชั่นจูงใจทั้งลด แลก แจก แถม ควบคู่ไปกับประเมินสถานการณ์เพื่อรองรับพฤติกรรมการใช้เชื้อเพลิงของลูกค้า
ขณะที่ นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (เเอลพีจี) ยอมรับว่า ขณะนี้การเเข่งขันของปั๊มเเอลพีจี รุนเเรงมากขึ้น บางเเห่งปรับยอมลดกำไรลงมาเเละปรับราคาหน้าปั๊มลง เช่น ขายราคา 11.98-12 บาท ขณะที่ปั๊มอื่นอยู่ที่ 12.50 บาทลิตร
ตั้งเเต่ต้นปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันปรับลงต่อเนื่องโดยตั้งแต่ต้นปีราคาน้ำมันเเก็สโซฮอล์ 91 ลดลงแล้ว 2 บาท 10 สตางค์ ขณะที่น้ำมันดีเซลลดลงไปแล้ว 2 บาท 50 สตางค์ รายงานจากกรมธุรกิจพลังงาน จำนวนปั๊มแอลพีจีล่าสุดอยู่ที่ 2,091 แห่ง เป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงตามปริมาณผู้ใช้แอลพีจีภาคขนส่งที่ลดต่อเนื่อง