นายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่ใช่แกนนำ นปช.คนแรกที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุกในคดีหมิ่นประมาท นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี แม้จะเป็นโทษจำคุกเพียง 1 ปี เพราะหากต้องการหวนคืนสนามการเมือง รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 98 ว่าด้วยลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เหมือนจะปิดประตูนายจตุพร เพราะ ในวงเล็บ 6 และ 7 กำหนดว่า หากต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล หรือ เคยได้รับโทษจำคุกโดยพ้นโทษไม่ถึง 10 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง จะขาดคุณสมบัติ การถูกจำคุกของนายจตุพร
ขณะที่กำลังจะมีการตัดสิน 3 คดีสำคัญของแกนนำพรรคเพื่อไทย ทั้งคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คดีสลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และคดีทุจริตการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ที่มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เป็นจำเลย ในเดือน ส.ค.นี้ ถูกจับโยงกับแนวทางการสร้างความปรองดองของรัฐบาล คสช.แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เพราะเห็นว่า เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม
นอกจากนายจตุพร ก่อนหน้านี้ แกนนำ นปช.หลายคนที่เคยเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมือง และเป็นอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย อย่างนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายนิสิต สินธุไพร พร้อมแกนนำ นปช.อีก 7 คน ก็ถูกจำคุกจากคดีปิดล้อมโรงแรม ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซัมมิต เมื่อปี 2552 ขณะที่นายขวัญชัย ไพรพนา อดีตแกนนำ นปช.จังหวัดอุดรธานี ก็ถูกศาลฎีกาสั่งจำคุกเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2559 ในคดีพยายามฆ่ากลุ่มพันธมิตรฯ หากเทียบกับกลุ่มการเมือง ที่เคลื่อนไหวชุมนุมต่อต้านรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างกลุ่ม กปปส.ซึ่งล่าสุดประกาศตัวชัดเจนที่จะกลับไปเตรียมลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งหน้า จะยกเว้นก็เพียงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขณะนี้การถูกดำเนินคดีข้อหากบฎยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นอัยการ หลังผู้ต้องหายื่นขอความเป็นธรรม