วันนี้ (3 ส.ค.2560) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายแล้วในหลายพื้นที่ จ.พิจิตร แต่บางพื้นที่ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่อง เพราะแม่น้ำยมที่รับน้ำจาก จ.สุโขทัย และ จ.พิษณุโลก เพิ่มระดับสูงขึ้น บางส่วนเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน เช่น ประชาชน อ.สามง่าม ต้องใช้เรือในการสัญจรไปมา หลังระดับน้ำสูง 40-50 ซม. ทั้งนี้ จังหวัดพิจิตรได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติ 7 อำเภอ คือ อ.วังทรายพูน อ.สากเหล็ก อ.ทับคล้อ อ.ตะพานหิน อ.ดงเจริญ อ.โพทะเล และ อ.โพธิ์ประทับช้าง
ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมในเขตเทศบาล จ.สกลนคร เข้าสู้ภาวะปกติ แต่ในหลายอำเภอระดับน้ำยังสูง 1-1.50 เมตร เช่น อ.พรรณานิคม อ.สว่างแดนดิน อ.วานรนิวาส อ.ส่องดาว อ.อากาศอำนวย อ.โพนนาแก้ว และ อ.โคกศรีสุพรรณ เนื่องจากน้ำในลำน้ำ 3 แห่ง คือ ลำน้ำสงคราม ลำน้ำยาว และลำน้ำอูน ยังไม่ลดระดับลง ส่วน จ.นครพนม ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำจากหนองหาร จ.สกลนคร โดยเฉพาะที่ อ.นาแก ลำน้ำบัง และลำน้ำก่ำเอ่อล้นท่วมเส้นทางสัญจรหลายเส้นทาง ทางจังหวัดได้ประกาศพื้นที่ภัยพิบัติเพิ่มอีก 2 อำเภอ คือ อ.ท่าอุเทน และ อ.โพนสวรรค์
ส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร และจังหวัดอุบลราชธานี ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ตามคำเตือนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมชลประทาน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำจากเขื่อนลำปาว ซึ่งเพิ่มการระบายน้ำตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค.เป็นต้นมา
นายธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) เปิดเผยว่า วสท.พร้อมวิศวกรจิตอาสาจะลงพื้นที่ในวันที่ 5 ส.ค.นี้ เพื่อสำรวจอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้น ว่ามีความเสียหายมากน้อยเพียงใด เพื่อประเมินสถานการณ์และเร่งทำการซ่อมแซม รองรับพายุฝนที่อาจจะเข้ามาอีกระลอกในช่วง 20 วันหลังจากนี้ เบื้องต้นเสนอให้รัฐบาลติดตั้งจีพีเอสตามบ้านเรือน โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณใกล้เขื่อนและอ่างเก็บน้ำต่างๆ ซึ่งประชาชนกำลังวิตกกังวล เพราะทำให้รัฐบาลทราบจุดเสี่ยงและแก้ไขปัญหาทันท่วงที พร้อมอพยพไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย