วานนี้ (16 ต.ค.2560) นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า ขณะนี้พะยูนจัดอยู่ในภาวะวิกฤต เนื่องจากถูกคุกคามอย่างหนักในเรื่องถิ่นที่อยู่อาศัย และการทำลายแหล่งหญ้าทะเล รวมทั้งการล่าและการติดเครื่องมือประมง ปัจจุบันคาดว่าในน่านน้ำไทย มีพะยูนไม่เกิน 200 ตัว ที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง จ.ตรัง เป็นแหล่งที่พบพะยูนมากที่สุด ประมาณ 130 - 150 ตัว เนื่องจากมีแหล่งหญ้าทะเลที่มีความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังพบบริเวณหมู่เกาะเสม็ด จ.ระยอง ครอบคลุมไปถึง จ.ชลบุรี จ.จันทบุรีและจ.ตราด คาดว่าอยู่ประมาณ 15 ตัว และในพื้นที่อ่าวไชยา จ.สุราษฎร์ธานี พบอีก 10 ตัว
ปัจจุบันยังพบว่ามีกลุ่มผู้ล่าพะยูนอยู่ เนื่องจากความเชื่อผิด ๆ เช่น กระดูกพะยูน สามารถทำยาบำรุงกำลัง และรักษาโรคมะเร็งได้ ส่วนเขี้ยวพะยูน นำไปเป็นเครื่องรางของขลัง เนื้อพะยูนนำไปประกอบอาหาร ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 150 บาท ซึ่งความเชื่อเหล่านี้เองทำให้พะยูนยังเป็นที่ต้องการในตลาดมืด หน่วยงานภาครัฐจึงร่วมกับภาคเอกชนเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่เป็นจริงเกี่ยวกับกระดูกหรือเขี้ยวพะยูนว่าไม่สามารถนำไปรักษาโรคหรือเป็นเครื่องรางของขลังได้จริงตามความเชื่อ
ขณะที่ นายก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง ได้ติดสัญญาณดาวเทียมพะยูน 3 ตัว เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่อยู่อาศัยของพะยูน แล้วนำข้อมูลมากำหนดแนวเขตในการอนุรักษ์ดูแลพะยูนอย่างจริงจัง โดยจะส่งเจ้าหน้าที่สำรวจประชากรพะยูนในประเทศไทย เพื่อหาจำนวนพะยูนที่แท้จริง จะเริ่มสำรวจช่วงระหว่างเดือนธ.ค.2560 -ก.พ. 2561 เนื่องจากสถานการณ์พะยูนเริ่มน่าเป็นห่วง หลังประชากรเหลือน้อยลงต่อเนื่อง
ทั้งนี้ พะยูน จะมีอายุประมาณ 70 ปี ใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 13-18 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว และออกทุก 3 ปีต่อพะยูน 1 ตัว หากไม่ถูกเครื่องมือประมงทำลายจะเฉลี่ยออกลูกประมาณตัวละ 10 ตัว ในช่วงตลอดอายุ 70 ปี ทำให้จำนวนประชากรพะยูนมีไม่มากนัก