เปิดช่องว่างทุจริตออก "ใบอนุโมทนาบัตรเปล่า" เอื้อหลบเลี่ยงภาษี

สังคม
6 พ.ย. 60
19:59
9,578
Logo Thai PBS
เปิดช่องว่างทุจริตออก "ใบอนุโมทนาบัตรเปล่า" เอื้อหลบเลี่ยงภาษี
การออกแบบระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ ของกรมสรรพากร ส่วนหนึ่งเพราะต้องการตรวจสอบยอดเงินบริจาคจริงให้ตรงกับในอนุโมทนาบัตรที่นำมาลดหย่อนภาษีกับสรรพากร ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีบางคนไม่ได้บริจาคจริง แต่กลับตกแต่งตัวเลขไปขอคืนภาษี

ทีมข่าวไทยพีบีเอสตรวจสอบหลักฐานสำคัญเข้าไปที่วัดดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ แจ้งความประสงค์จะทำบุญแค่หลักร้อยแต่วัดกลับให้ใบอนุโมทนาบัตรเปล่า มากรอกตัวเลขเอง

ทีมข่าวไทยพีบีเอสตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้แนะนำวิธีการโอนเงินเข้าบัญชีวัด หลังได้รับใบอนุโมทนาบัตรจำนวน 2 ใบ ที่มีลายเซ็นผู้รับเงินและเจ้าอาวาสวัดแล้ว ซึ่งผู้บริจาคสามารถนำไปเขียนชื่อและยอดเงินได้เอง แล้วโทรศัพท์มาแจ้งเจ้าหน้าที่วัด หลังโอนเงินเข้าบัญชีแล้ว เพื่อให้จดไว้ที่ต้นขั้วใบอนุโมทนาบัตร แต่มีเงื่อนไขให้โอนเงินตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไปต่อ 1 ใบอนุโมทนาบัตร

ทีมข่าวสอบถามเจ้าหน้าที่วัดอีกครั้งว่าหากต้องการทำวิธีการนี้เพื่อแลกกับใบอนุโมทนาบัตรสามารถทำได้อีกหรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าทำได้ เพียงแต่ต้องโทรมาแจ้งชื่อและยอดบริจาคเพื่อให้วัดบันทึกไว้ ป้องกันการถูกตรวจสอบจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

วิธีการนี้ เป็นความจงใจหลบเลี่ยงกฎหมาย เป็นความสมยอมกันระหว่างเจ้าหน้าที่วัดและผู้บริจาค ที่อาศัยช่องว่างนี้เขียนเงินบริจาคในใบอนุโมทนาบัตร สูงกว่าความเป็นจริง แล้วนำไปยื่นแบบขอหักลดหย่อนภาษี ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ภาครัฐ

"มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ซึ่งยังไม่เห็นตัวเงินว่าบริจาคเท่าไหร่ ถ้าให้ไปแบบนั้นแล้วมีผู้นำไปกรอกจำนวนเงินมากเกินก็ไปเลี่ยงภาษี ช่วยให้เขาเลี่ยงภาษีไปด้วย การเลี่ยงภาษีนี่กรณีของพระ สมมติเวลาไปต่างประเทศเกิดมีคนให้หิ้วของแล้วของนั้นมันหลบภาษี พระเดินก้าวข้ามเขตภาษีก้าวเดียวก็ขาดจากความเป็นพระแล้ว มันแรงขนาดนั้นหากเกี่ยวข้องกับภาษี" พระราชธรรมนิเทศ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี กล่าว

พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลยาโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ให้ความเห็นว่า การออกใบอนุโมทนาบัตรต้องเขียนตามความเป็นจริงทั้งชื่อและจำนวนเงินบริจาค และต้องเขียนเมื่อได้รับเงินแล้วเท่านั้น การให้ผู้บริจาคนำใบอนุโมทนาบัตรไปเขียนเอง ถือเป็นความจงใจในการเลี่ยงภาษี

ทุกวันนี้ยังมีวัดอีกหลายแห่งที่มีพฤติกรรมเช่นนี้แต่เมื่อไทยพีบีเอสตรวจสอบไปกับพบว่า มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ขอไม่ให้พูดหรือเปิดเผยเรื่องนี้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง