แนะปชช.ไม่สัมผัสสัตว์ปีกป่วยตาย ป้องกันไข้หวัดนก H5N1

สังคม
22 พ.ย. 60
18:34
443
Logo Thai PBS
แนะปชช.ไม่สัมผัสสัตว์ปีกป่วยตาย ป้องกันไข้หวัดนก H5N1
กรมควบคุมโรค เผยรายงานองค์การอนามัยโลกกรณีการระบาดของโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ระบุตั้งแต่ปี 2546-2560 พบผู้ติดเชื้อแล้ว 860 คนใน 16 ประเทศ ขณะที่ปัจจุบันยังไม่พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดนกในไทย พร้อมแนะประชาชนหลีกเลี่ยงสัมผัสสัตว์ปีกป่วยตายผิดปกติ

วันนี้ (22 พ.ย.2560) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดนก สายพันธุ์ H5N1 ในต่างประเทศ ตั้งแต่เดือน ม.ค.2546 - 27 ก.ย.2560 พบผู้ติดเชื้อ 860 คนใน 16 ประเทศ รวมถึงกัมพูชา จีน ลาว พม่า มาเลเซียและเวียดนาม ซึ่งรายงานล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ก.ย.2560 พบผู้ป่วยรายใหม่ในประเทศอินโดนีเซีย 1 คน

ส่วนประเทศไทย พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 รายสุดท้ายในปี 2549 ขณะที่ปัจจุบันยังไม่พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดนก แต่ก็มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดจากผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาด หรือนกอพยพ และการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกในประเทศและบริเวณแนวชายแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ร่วมกับกรมปศุสัตว์และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ที่มีรายงานสัตว์ปีกป่วยตาย เพื่อดำเนินการควบคุมสถานการณ์และให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคไข้หวัดนกแก่ประชาชน โดยขอให้ผู้ที่เลี้ยงไก่หรือพบเห็นไก่หรือนกตายผิดปกติ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทันที หากมีความจำเป็นต้องสัมผัสสัตว์ควรสวมหน้ากากอนามัยและถุงมือยาง โดยให้ล้างมือด้วยสบู่และน้ำทุกครั้งหลังการสัมผัส

นอกจากนี้ ควรกำจัดสัตว์ปีกด้วยการขุดหลุมและโรยปูนขาว พร้อมพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อให้ทั่ว ก่อนนำซากสัตว์ที่ตายใส่ลงในหลุม แต่ต้องใส่ซากสัตว์ไม่เกินครึ่งหนึ่งของความลึกหลุมที่ขุดไว้และกลบดินให้แน่น จากนั้นโรยปูนขาวและพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ปากหลุม รวมถึงบริเวณใกล้เคียง พร้อมกับหาวัสดุมาปิดทับหลุมอีกครั้ง เสร็จแล้วให้พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝังซาก

ส่วนคำแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป ควรดูแลสุขอนามัยโดยหมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หลีกเลี่ยงสัมผัสสัตว์ปีก รวมทั้งนกธรรมชาติและไม่รับประทานอาหารจากสัตว์ปีกที่ปรุงไม่สุก แต่หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ภายในช่วง 14 วันหลังกลับมาจากพื้นที่ที่พบสัตว์ปีกป่วยตาย ควรสวมหน้ากากอนามัยและรีบไปพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการเดินทางและประวัติสัมผัสโรค ทั้งนี้ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง