ในแง่ของกระบวนการนั้นเพียงแค่ได้รายชื่อว่าที่ กกต.มาไม่กี่วัน ก็มีการทักท้วงจากนายสมชัย ศรีสุทธิยากร หนึ่งใน กกต.ที่รักษาการอยู่ และกำลังจะพ้นจากตำแหน่งเร็วๆ นี้ ว่า กระบวนการสรรหา กกต. 2 ใน 7 คน ในสัดส่วนที่คัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีปัญหา เนื่องจากเป็นการเลือกด้วยวิธีการลงคะแนนลับ ทั้งที่มาตรา 12 ของกฎหมายลูกว่าด้วย กกต.กำหนดให้ลงคะแนนโดยเปิดเผย
หากการตั้งข้อสังเกตของนายสมชัยเป็นจริง จะทำให้ผลการคัดเลือกของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่มีมติเลือกนายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี และนายปกรณ์ มหรรณพ เป็นโมฆะได้ ซึ่งนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะฝ่ายที่ดูแลการลงมติในขั้นตอนสุดท้ายก็ย้ำถึงเรื่องนี้ว่า ต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจนก่อน
ในแง่ความเหมาะสมของตัวบุคคลในส่วนที่มาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาอาจไม่มีปัญหา แต่อีก 5 คน ที่มาจากคณะกรรมการสรรหาเมื่อปรากฏชื่อออกมาแล้ว แม้จะดูว่ามีความหลากหลาย แต่ก็ถูกวิจารณ์เรื่อง "ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการเลือกตั้ง" จึงเป็นความเสี่ยงที่สมาชิก สนช. อาจไม่ให้ความเห็นชอบบุคคลบางส่วน หรืออาจจะทั้งหมด
แต่ในมุมของพรรคการเมืองหลายคนก็ปฏิเสธที่จะวิจารณ์เกี่ยวกับตัวบุคคลอย่างนายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา มองว่า ปัญหาที่จะเกิดขึ้นคงไม่ได้มาจากตัวบุคคลแต่จะเกิดจากเรื่องใหม่ ทั้งหลักไพรมารี่โหวตและระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม
ขณะที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ก็มองว่า องค์ประกอบเรื่องการเลือกตั้งนั้น ขึ้นอยู่กับกฎหมายกำหนด
สำหรับกระบวนการของ สนช.ในการสรรหา กกต.ชุดใหม่นั้น ในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ จะมีการบรรจุวาระในที่ประชุม สนช.เพื่อตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติ จำนวน 17 คน โดยมีเวลาทำงาน 45 วัน ก่อนส่งให้ สนช.ลงมติเห็นชอบอีกครั้งช่วงปลายเดือน ม.ค.ปี 2561 แต่หาก สนช.มีมติไม่ให้ความเห็นชอบบุคคลใด คณะกรรมการสรรหาก็จะดำเนินการสรรหาเฉพาะตำแหน่งที่ขาดไป ซึ่งจะทำให้ระยะเวลาต้องยาวออกไปอีก และอาจกระทบต่อโรดแมพจัดการเลือกตั้ง