พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงแนวทางการปฏิบัติมาตรการป้องกันและปราบปรามช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ 2561โดยจะใช้กำลังตำรวจ 52,700 นาย เน้นบูรณาการกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งทหารและฝ่ายปกครอง โดยเฉพาะในพื้นที่เคาท์ดาวน์ทั่วประเทศที่มีประมาณ 200 แห่ง
นอกจากนี้ ตำรวจได้นำแอปพลิเคชัน Police i lert u มาใช้เพื่อให้ประชาชนสามารถแจ้งเหตุด่วนหรือเหตุสำคัญ โดยเจ้าหน้าที่จะทราบพิกัดของผู้แจ้งเหตุได้ทันที โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร พัทยา และ จ.เชียงใหม่ ส่วนจังหวัดอื่นๆ สามารถใช้ควบคู่กับสายด่วน 191 เมื่อต้องการขอความช่วยเหลือ ซึ่งจะส่งสัญญาณไปที่ 191 และเจ้าหน้าที่สามารถเข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที
ขณะเดียวกันจะนำเอานวัตกรรมมาทดลองใช้อีกหลายรายการ เช่น ตู้แดงคิวอาร์โค้ด ซึ่งจะบันทึกการออกตรวจของเจ้าหน้าที่สายตรวจ นำร่องใช้งานในพื้นที่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี และจะมีการนำกล้องเทคโนโลยีเรียลไทม์ มาใช้ โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
กล้องดังกล่าวจะสามารถถ่ายทอดจากสถานการณ์จริงและตอบโต้กันได้ โดยจะนำมาใช้กับตำรวจสายตรวจและการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ กิดความสบายใจ ไม่มีการกลั่นแกล้ง เบื้องต้นจะทดลองใช้ 16 เครื่อง ในเขตนครบาล พื้นที่ สน.บางซื่อ, สน.มีนบุรี และ สน.คันนายาว
ส่วนมาตรการป้องกันอาชญากรรมและเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบบุคคลที่ขับยานพาหนะ และมีปริมาณระดับแอลกอฮอล์เกินกว่ากฏหมายกำหนด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการดูแลความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา (25 ธ.ค.2560) ตำรวจได้ตั้งด่านบริเวณถนนรัชดาภิเษก ฝั่งขาเข้า พบผู้ฝ่าฝืนขับรถยนต์ขณะมีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่า 50 มิลลิกรัมหลายคน โดยตำรวจได้แจ้งข้อหาเมาแล้วขับ
สำหรับความผิดฐานเมาแล้วขับ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 20,000 บาท หรือถูกพักหรือเพิกถอนการใช้ใบอนุญาตขับขี่ตามกฏหมาย โดยตำรวจจะทำสำนวนคดีส่งฟ้องศาลทันที และหากตรวจสอบประวัติแล้วพบว่าเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาเมาแล้วขับมาก่อน จะมีโทษหนัก เพราะถือว่าเป็นการกระทำผิดซ้ำสอง