พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีตำรวจเยอรมนีปฏิบัติการทลายขบวนการค้าประเวณีครั้งใหญ่ในประเทศ โดยหนึ่งในตัวการที่ถูกจับกุมได้เป็นหญิงชาวไทย ว่า เมื่อวานนี้ (18 เม.ย.) ได้รับรายงานจากสื่อต่างประเทศว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเยอรมนีระดมกำลังกว่า 1,500 นาย บุกย่านเริงรมย์ทั่วประเทศที่กระทำผิดบังคับค้าประเวณี สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยสำคัญได้ 17 คน และหนึ่งในนั้นเป็นหญิงไทย
จากกรณีดังกล่าวได้รายงานให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. รับทราบแล้ว ทางกองการต่างประเทศได้ประสานข้อมูลเพิ่มเติมไปทางเยอรมนี เบื้องต้นได้รับแจ้งว่ายังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ เพื่อประโยชน์ในทางคดี ซึ่งกองการต่างประเทศจะได้ประสานกับทางเยอรมนีอย่างใกล้ชิด หากมีความคืบหน้าหรือข้อมูลเพิ่มเติมจะรีบแจ้งให้ทราบทันที
ทั้งนี้ กรณีหญิงไทยถูกจับกุมนั้น เป็นการกระทำผิดนอกราชอาณาจักร ต้องให้ประเทศต้นทางดำเนินการไปตามขอบเขตอำนาจ แต่หากพบว่ามีการกระทำเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทย หรือมีลักษณะเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ทางตำรวจไทยพร้อมให้ความร่วมมือกับทางเยอรมนีในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เพื่อสอบสวนขยายผล ที่ผ่านมานั้นทางตำรวจได้ให้ความร่วมมือกับต่างประเทศในสถานการณ์เช่นนี้มาโดยตลอด
รองโฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า ผบ.ตร. ได้ขับเคลื่อนโยบายในเรื่องนี้ของรัฐบาลอย่างจริงจัง การป้องกันปราบปรามและแก้ปัญหาจะต้องกระทำในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านการประสานงานกับหน่วยงานต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทุกวันนี้ปัญหาคนไทยตกเป็นเหยื่อของขบวนการบังคับค้าประเวณีข้ามชาติจำนวนมาก ทางตำรวจจะบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ปัญหาและป้องกันและปราบปรามอย่างต่อเนื่อง
พล.ต.ต.กรไชย คล้ายคลึง
พล.ต.ต.กรไชย คล้ายคลึง
ขณะที่ พล.ต.ต.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บังคับการปราบปรามค้ามนุษย์ เปิดเผยกรณีดังกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ามนุษย์หรือไม่ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นผู้ประสานกับทางประเทศเยอรมนี และหากพบว่ามีคนไทยที่เป็นผู้เสียหาย หรือเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ามนุษย์แล้วต้องการร้องทุกข์ เมื่อนั้นทางบังคับการปราบปรามค้ามนุษย์จึงเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่กรณีนี้ยังต้องรอใหัชัดเจนว่าเป็นเรื่องค้ามนุษย์หรือไม่
สำหรับปัญหาการค้าประเวณี ที่มีคนไทยค้ากามในต่างแดน จะพบว่ามีรูปแบบการเดินทางออกนอกประเทศในรูปแบบนักท่องเที่ยวตามปกติ ส่วนวีซ่าที่ขอก็เป็นวีซ่านักท่องเที่ยว หรือ วีซ่าเพื่อเดินทาง แม้ว่าหลายประเทศจะไม่ต้องใช้วีซ่าและอนุญาตให้ค้าประเวณีได้ถูกกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติมักพบว่ากลุ่มคนที่ไปค้าประเวณี จะไม่ขอเดินทางเข้าไปค้าประเวณี แต่จะใช้รูปแบบการเดินทางเข้าประเทศเพื่อท่องเที่ยว หรือทำงาน เพื่อบังหน้า ซึ่งเจ้าหน้าที่มีความยากลำบากในการติดตามตัวขณะออกนอกประเทศ เพราะคนเหล่านี้เดินทางปกติ เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่เจ้าหน้าที่จะทราบเมื่อคนกลุ่มนี้ เดินทางไปถึงปลายทางและประเทศนั้นๆ ได้แจ้งข้อมูลการติดตามตัวกลับมาให้ทราบและทำงานประสานกันระหว่างประเทศ ในส่วนที่เจ้าหน้าที่ไทยได้เฝ้าหรือส่งสัญญาณให้ประเทศนั้นๆ จับตาดูพฤติกรรมเป็นพิเศษ
"ประเทศที่เราพบการค้าประเวณีมาก ก็คือกลุ่มประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า เช่น บาร์เรน, ญี่ปุ่น, กาต้าร์, มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ขณะเดียวกันเราได้จับตากลุ่มที่นำพา หรือเชิญชวนสาวไทย หรือ สาวประเภทสอง เดินทางไปค้าประเวณีด้วย ซึ่งในรอบหลายปีที่ผ่านมา รูปแบบการชักชวน เกิดจากสาวไทยที่เคยไปค้าประเวณีมาแล้ว มาเป็นผู้จัดหาแทน ซึ่งรูปแบบอดีตกับปัจจุบันไม่ต่างกัน ยังมีการเชิญชวนเอาเรื่องเงินทอง บ้านหลังใหญ่ ใส่ทองโต มาหลอกล่อ และกลุ่มใหญ่ยังอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด อยากฝากเตือนหญิงไทยว่าชีวิตประเวณีในต่างแดนมันไม่ได้หอมหวานอย่างที่คิด"
สำหรับปัญหาการค้าประเวณีต่างแดน เฉลี่ยมีเกิดขึ้น 40-50 รายในทุกๆ ปี ส่วนปี 2561 ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม ถึง 11 เมษายน 2561 มีจำนวน 42 ราย ใน 5 ประเทศที่กล่าว ในจำนวนนี้มีหญิงสาว 10 รายตกเป็นเหยื่อโดนล่อหลวง โดนกระทำทารุณ ทุบตี ทำร้ายร่างกาย