ตามปกติแล้ว พื้นที่เพาะปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แต่ 1-2 ปีมานี้ เฉพาะใน จ.จันทบุรี ที่พอจะสำรวจได้ก็มีอยู่นับหมื่นต้น ปีนี้เพิ่มสูงกว่าปีก่อนๆ อยู่ที่ 210,000 กว่าไร่ ในจำนวนนี้คาดว่า มีทุเรียนใหม่ราว 7,000 ต้น ตามปกติหากต้องการทราบว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้นเท่าใด สามารถคิดเทียบจากค่าเฉลี่ยตัวเลขกลางว่าทุเรียนจำนวน 1 ไร่ จะให้ผลผลิตได้ ไร่ละ 1,534 กิโลกรัม
คาดการณ์ว่า ปี 2561 ผลผลิตจะอยู่ที่ราวๆ 270,000 ตัน และจากการปลูกทุเรียนใหม่ 7,000 ต้น จะทำให้ผลผลิตในอีก 3 ปีข้างหน้าเพิ่มร้อยละ 3 หรือราว 8,000 ตัน ที่เป็นร้อยละ 3 เพราะต้นใหม่ๆ จะให้ผลผลิตเพียง 500-600 กิโลกรัม ต่อต้น ทำให้เกษตรกรก็ดูจะกังวลกับผลผลิตที่กำลังจะเพิ่มขึ้นว่าจะทำให้ราคาตกต่ำ แต่นายสุเทพ จรูญชนม์ เกษตรจังหวัด กลับมองว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะปลูกได้ผลดี
แต่ใน 3 ปีนี้ ปริมาณต้นทุเรียนที่เพิ่มมากขึ้น และจะมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อทุเรียนมีอายุ 5 ปี กำลังบอกเราว่า ในอนาคตตลาดทุเรียนอาจจะไม่เหมือนตอนนี้แล้ว ที่จริงตอนนี้อยู่ช่วงขาขึ้น ควรจะสร้างกลไกการขาย แต่ปรากฎว่ายากที่จะเกิดเหตุใดเกษตรกรจึงยังขายแบบฝากชีวิตกันอยู่ ยกตัวอย่าง จ.จันทบุรี ที่นี่แทบไม่ได้รวมตัวกันเป็นสหกรณ์ ซึ่งมีอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นรายย่อย มีอยู่ราว 21,000 คน
การที่เกษตรกรไม่สามารถรวมตัวกันได้ และนิยมการขายผลผลิตให้กับล้งมากกว่าและเมื่อผลิตได้ก็ขายออกไปจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่กล้าตั้งราคา เพราะเกรงว่าล้งไม่ซื้อ และยังมองว่าขั้นตอนการรวมตัวเป็นสหกรณ์ยุ่งยาก ต้องยกระดับคุณภาพให้ได้เท่ากัน เลยไม่ต้องการรวมตัว และต้องการให้รัฐเข้ามาส่งเสริมการตลาด มากกว่าให้ต้องเริ่มกันเอง
ปัจจัยที่ว่ามานี้ทั้งตัวเกษตรกร คุณภาพ และการไม่รู้เรื่องการตลาด คือ ความอ่อนแอที่ทำให้กลไกการกำหนดราคายังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ไม่แน่ว่า เราอาจจะเห็นปรากฎการณ์ หมอนทองราคากิโลกรัมละ 14 บาท หรือ ชะนี กิโลกรัมละ 4 บาท แบบในอดีตก็เป็นไปได้