วานนี้ (31 พ.ค.2561) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านตำบลคีรีวง และตำบลปลายพระยา จ.กระบี่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวนปาล์มน้ำมันของ บริษัท ยูนิวานิช เนื้อกว่า 10,000 ไร่ และได้หมดสัมปทานตั้งแต่ปี 2556 เข้าให้ถ้อยคำ ทยอยนำเอกสาร-หลักฐาน เข้าให้ถ้อยคำ แจ้งความประสงค์ในการเก็บหาของป่ากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง หลังสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด ส่งเรื่องให้อำเภอฯช่วยคัดกรอง ท่ามกลางความหวังของชาวบ้านที่จะมีที่ทำกินเป็นของตัวเอง
การเปิดรับลงทะเบียนของทาง อ.ปลายพระยาครั้งนี้ เนื่องจากมีชาวบ้านกว่า 100 คน นำเอกสารหลักฐาน เข้าแจ้งความประสงค์กับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดกระบี่ เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
โดยให้เห็นผลว่าภาครัฐควรเปิดโอกาสให้ชาวบ้าน ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เข้าไปใช้ประโยชน์ แทนการอนุญาตให้บริษัทเอกชนเช่าต่อ ตามที่เคยยื่นคำร้อง เนื่องจากได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์มานานกว่า 30 ปีแล้ว และหมดสัมปทานตั้งแต่ปี 2556
นายสมคิด สมทรง ชาวอ.ปลายพระยา จ.กระบี่ เห็นด้วยที่ทางอ.ปลายพระยา และหน่วยงานช่วยหาทางออกให้ชาวบ้านเ้ข้าเก็บหาของป่าในพื้นที่สัมปทนสวนปลามหมดอายุ เพราะชาวบ้านยากจขน
นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ นายอำเภอปลายพระยา กล่าวว่า สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อมจังหวัดกระบี่ ส่งเรื่องมาให้ทางอำเภอเป็นผู้คัดกรอง โดยส่วนเห็นด้วย ที่จะมีการอนุญาตให้ชาวบ้านเข้าไปใช้ประโยชน์ เนื่องจากการส่งคืนพื้นที่เป็นการส่งคืนสวนปาล์มที่ใกล้หมดอายุ จึงเห็นควรอนุญาตให้ชาวบ้านเข้าไปเก็บหาของป่า ด้วยการเก็บผลปาล์มเพื่อหารายได้เสริม
พร้อมๆกับการปลูกไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ขึ้นมาทดแทนเพื่อให้ป่ากลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง และยังเป็นการป้องกันกลุ่มเรียกร้องที่ดินทำกินจากนอกพื้นที่ เข้าไปปักหลักยึดสวนปาล์ม
ในปี 2546 ชาวบ้านจากหลายจังหวัด กว่า 3 หมื่นคน รวมตัวกันที่หน้าศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี เรียกร้องให้รัฐบาลสมัยนั้น นำที่ดิน ที่หมดสัมปทาน ทั้งภาคใต้ กว่า 1 แสน 3 หมื่่นไร่ เฉพาะที่จังหวัดกระบี่ กว่า 7 หมื่นไร่ มาจัดสรรให้กับคนจน นำไปสู่มติ ครม.ปี2546 หรือในปีเดียวกัน
แต่จนขณะนี้พบทุกพื้นที่ ยังมีบริษัทเอกชน และเจ้าหน้าที่บางหน่วยงานเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ มีแกนนำและชาวบ้านในชื่อกลุ่มเรียกร้องที่ดินทำกิน ถูกลอบยิงเสียชีวิตแล้วกว่า 10 คน ทุกคดีไม่มีความคืบหน้า