เปิดใจ "เค เยาวราช" 1 ในจิตอาสาช่วย 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง

สังคม
18 ก.ค. 61
16:28
2,398
Logo Thai PBS
เปิดใจ "เค เยาวราช" 1 ในจิตอาสาช่วย 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง
เค เยาวราช เป็นจิตอาสาอีก 1 คน ที่เข้าร่วมในภารกิจช่วยเหลือและค้นหาทีมหมูป่า รวม 13 คน ระบุเหตุการณ์นี้ได้บทเรียน ความสามัคคี ความช่วยเหลือเกื้อกูล ทีมเวิร์ก และการบริหารจัดการที่ดี โดยยกย่อง น.ต.สมาน กุนัน อดีตหน่วยซีลที่เสียสละชีวิตในครั้งนี้

สมศักดิ์ ศรีเพ็ชร หรือเค เยาวราช อายุ 48 ปี เป็นจิตอาสาที่เข้าร่วมในภารกิจช่วยเหลือและค้นหานักฟุตบอลเยาวชนหมูป่าและผู้ฝึกสอน รวม 13 คน ที่ติดค้างอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย เล่าให้ฟังว่า หลังจากทราบข่าวจากเพื่อนว่ามีเด็กติดอยู่ในถ้ำหลวง ได้เช็กเวลาและแบ่งเวลา ลาครูได้ จึงได้เก็บของและออกเดินทางในเวลา 01.30 น. ของวันที่ 25 มิ.ย. ประกอบด้วยรถฮัมวี 2 คัน ที่ชื่อว่าพี่เจริญ รถที่ใช้ทำอาหาร และพี่โชคดี คันที่เขาขับเอง พร้อมทีมงานจิตอาสาอีก 4 คน ใช้เวลา 1 วัน 1 คืน จึงเดินทางไปถึงถ้ำหลวง

เขาได้ทำภารกิจต่างๆ สนับสนุนทีมช่วยเหลือและค้นหาในการจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไม้ไผ่ที่ใช้หามสายไฟ สายยางอัดอากาศ แท่งเรืองแสง ตลอดจนช่วยลำเลียงและซื้อของ และด้วยความสามารถในการดำน้ำ จึงเป็นอีกคนหนึ่งที่เข้าไปทำภารกิจต่างๆ ในถ้ำหลวงด้วย จากนั้น พอว่างเขาจะทำอาหารให้เจ้าหน้าที่และจิตอาสา ซึ่งชาวบ้านที่ทราบข่าวก็มาช่วยด้วยอีกแรง และมีจิตอาสามารุมทำที่รถอีกคัน ทำให้งานตรงนี้เบาลง

ในช่วงที่เขาดำน้ำและเอาของไปให้เด็ก เคยรู้สึกแน่นบริเวณหน้าอก ด้วยความที่นอนน้อยไม่กี่ชั่วโมงบนรถและเข้าไปด้วยความอยากช่วยเด็ก จึงเข้าใจว่า น.ต.สมาน กุนัน หรือจ่าแซม เสียชีวิตเพราะอะไร นอกจากต้องเผชิญจากแรงกดอากาศและน้ำ ความเครียด และพักผ่อนไม่เพียงพอ แม้ว่าใจสู้ แต่การที่ต้องดำน้ำและระยะทางไกล จึงไม่ใช่เรื่องง่าย และยังต้องแบกถังออกซิเจน 3 ถัง ใส่หลัง 1 ถัง และด้านซ้ายขวาฝั่งละถัง

สมศักดิ์ บอกอีกว่า นี่เป็นเหตุผลที่ต้องใช้ทหารเรือและหน่วยซีลที่มีการฝึกมาอย่างดี เพราะถ้าไม่มีความอดทน จิตใจอ่อนแอ จิตใจหวั่นไหว จะเหวอเลย จิตใจจะไม่อยู่กับตัว จะช็อกได้ และเวลาเดินข้างในจะมีหินสูงและแหลมบาดเหมือนครีบฉลามอยู่ตามจุดเต็มไปหมดเลย และข้างบนมีหินงอกหินย้อยแหลมเหมือนฉมวกเป็นหมื่นเป็นแสนอันที่พร้อมจะหล่นมาเสียบเราได้

ในช่วงที่ยังไม่พบเด็ก รู้สึกอึดอัด บางทีนั่งอยู่ในถ้ำน้ำตาไหล กลายเป็นไม่กลัว ตายไม่กลัว แต่ขอภารกิจให้เด็กออกมาก่อน ทุกคนคิดเหมือนกันหมด เข้าไปบ่อยมากจนแน่นหน้าอก เพราะอากาศข้างในชื้น และมีอากาศหายใจน้อย อึดอัด เหม็นสาบ หายใจไม่ทั่วท้อง ต้องเดินไปไกล รู้สึกเพลีย ซึ่งต้องแบกถังออกซิเจน ระยะทางจากโถง 1 ไปโถง 3 ระยะทางหลายกิโลเมตร และไม่ใช่ทางเรียบ ต้องขึ้นลงเนิน ลงบันได ขึ้นปีนเขา ทุลักทุเลมาก โดยสภาพ สถานที่ เหมือนกับภูเขาเอเวอร์เรสต์

หลังจากพบเด็กแล้ว รู้สึกเหมือนถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 1 พอรู้ว่าเด็กรอดแล้ว ทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่เสียใจตอน น.ต.สมาน เสียชีวิต ทุกคนเสียใจ ตอนเข้าไป 2 ทุ่มกว่า และตี 1 ถึงรู้ว่าเสียแล้ว เขาปั๊มหัวใจทำ CPR ซึ่งทุกคนน้ำตาซึม ร้องไม่ออก มันแน่นจุกอก ซึ่งในช่วงเวลาลำเลียงเด็กออกมาจากถ้ำ วันแรก เด็กออกมาได้ 4 คน วันที่ 2 ก็เข้าไปทำและอยู่ทั้งวัน จนวันที่ 3 อยู่กับอดีตผู้พันหน่วยซีล ซึ่งอยู่ที่กองท่าอากาศยานดอนเมือง จนซีลออกมาสุดท้าย ผมก็ออกมาพร้อมเขา แล้วซีลบอก โก โก โก รีบโกเลย เพราะว่าน้ำมาแล้ว ถ้าช้าสัก 5-10 นาที ตายหมด

สมศักดิ์ เล่าต่อว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ได้บทเรียน ความสามัคคี ความช่วยเหลือเกื้อกูล ความเป็นพี่เป็นน้อง ทีมเวิร์ก การบริหารจัดการที่ดี ทุกคนรวมพลัง ใจเป็นหนึ่งเดียวต้องการเอาเด็กออกมา และข้อสำคัญเด็กต้องรอด ทุกหน่วยงานถือว่าเป็นกลไกขับเคลื่อนไม่ว่าจะเป็นการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) นักประดาน้ำ หน่วยซีล เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทุกคนช่วยกันและสนับสนุนกันทั้งหมด แบ่งงานกันไปตามหน้าที่ความรับผิดชอบ

ด้วยความที่เป็นจิตอาสา สามารถเข้าถึงได้ทุกหน่วยและรู้จักกันมาตั้งแต่งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จึงประสานได้ทุกที่ ข้อสำคัญคือการได้ออกทีวี ถ้าไม่ออกทีวีเขาจะไม่รู้ว่าเราเป็นใคร พอออกทีวีทำให้คนรู้ว่าเรามีหน้าที่ทำอะไร และไม่มีมาถามว่าคุณมาทำไม ถามแต่ว่าขาดอะไร เติมให้กัน เพราะรู้ว่าเรากำลังไปช่วยเด็กที่ถ้ำหลวง ถ้าขาดเหลืออะไรที่จำเป็นจะช่วยกันหามาจนได้

สำหรับจุดเริ่มต้นของการเข้ามาเป็นจิตอาสา เริ่มทำมาตั้งแต่น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 เรื่อยมาจนถึงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ได้ไปแจกอาหาร รับส่งประชาชนและเจ้าหน้าที่ เก็บร่ม เก็บขยะ และคอยรับส่งของที่จะไปตามโรงทานต่างๆ ที่ถือว่าเป็นสนามใหญ่ของจิตอาสา ทำให้บริหารจัดการเป็น เพราะวันนึงหลายพันคน ทำสเต๊ก วันละ 4,000-5,000 คน ซึ่งในปัจจุบันจะมีไปทำอาหารแจกที่ท้องสนามหลวง หัวลำโพง และเสาชิงช้า ขึ้นอยู่กับโอกาสแล้วถ้าเห็นคนลำบากก็จะช่วยเลย

สมศักดิ์ บอกว่า ที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา ต้องทำด้วยใจก่อน เพราะเคยมีคนให้โอกาสเรา ตอนเด็กที่ฐานะยากจน เคยไปต่อยมวยและโดนโกง ต้องไปนอนที่ต้นมะขาม ต้นที่ 4 บริเวณท้องสนามหลวง รอรถเมล์จะกลับบ้านย่านพระราม 2 ตื่นขึ้นมาพบว่ามีคนเอาข้าวและเงิน 20 บาทมาให้ ซึ่งยังนึกถึงเขาตลอด ถ้าวันนั้นไม่มีคนแบบนี้มา อาจจะไปฉกชิงวิ่งราวแล้ว เพราะไม่มีเงิน จะกินข้าวจะเอาที่ไหน อาจจะเปลี่ยนชีวิตไปเลย และการที่เราไปขัดล้างห้องน้ำวัด และช่วยคนทำให้มีร้านทอง และเวลาไปทำการค้าจะมีคนเมตตา ก็ได้กำไรกลับมา

สำหรับการจะเป็นจิตอาสา จะทำอะไรต้องมีความสุข อย่าทุกข์ และอย่าเอาเงินเป็นตัวตั้ง คิดว่าทำแล้วมีความสุข ทำแล้วทำไป เอาบุญมาสะสมไว้ในใจ เป็นธนาคารบุญ อิ่มเอิบใจ มีความสุข ตายไปก็ไปภพที่ดี เชื่อว่าคนที่คิดแบบผมก็มีเยอะ แต่เขาไม่มีเงินไม่เวลาไม่มีโอกาสที่จะทำ เขาทำได้ 2 วันแล้วเขาต้องกลับไปทำงาน ไม่งั้นโดนไล่ออก เขามีภาระ แต่เรางานอิสระ เชื่อว่าทุกคนมีใจ ขอแค่มาช่วยก็ดีใจละ มีใจเป็นกุศลก่อน ต่อไปเขามีเงินอาจจะทำมากกว่านี้

ทั้งนี้ ขอฝากจิตอาสาทุกคนว่าทองแท้ไม่แพ้ไฟ ทำไปเถอะความดี สักวันจะมีคนเห็น ซึ่งจิตอาสาหลายคนทำได้มากกว่าผม อย่าง น.ต.สมาน ที่เสียชีวิตในครั้งนี้ จิตอาสาทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ช่วยให้สังคมมีความโอบอ้อมอารี มีการช่วยเหลือเกื้อกูล ตามธรรมเนียมของไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ คนมีมากให้คนน้อย คนที่มีน้อยช่วยเหลือคนที่น้อยกว่า คนที่ดีกว่าช่วยเหลือคนที่ยากกว่าคนแย่กว่า เป็นการสะสมบุญ เชื่อว่าบาปบุญคุณโทษ เวรกรรมมีจริง การตายไปวันหน้าเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไร ผลบุญที่ทำจะตามช่วยเรา และก่อนจะไปช่วยเหลือคนอื่น ถ้ารู้ว่าร่างกายไม่แข็งแรงอย่าไปเข้าไปทำ รู้ว่าทำไม่ไหว เหนื่อย อย่าไปเป็นภาระเขา นี่คือหัวใจของจิตอาสา

สมศักดิ์ เล่าอีกว่า ปกติเป็นคนนิสัยใจร้อน วู่วาม โผงผาง แต่ลดทิฐิและความใจร้อนลงไปเรื่อยๆ เพราะบางคนทำด้วยใจ บางครั้งชอบไปไหนคนเดียว เพราะไม่ต้องง้อใคร ขับรถคนเดียวและไปได้เลย แต่ถ้าไปหลายคนจะช้ากว่า เลยกลายเป็นคนนิสัยเสีย ตอนหลังลดลงมาและเราเข้าใจคน บางทีหน้างานเราสั่ง 4-5 อย่าง แต่คนทำจะทำได้อย่างเดียว ก็หงุดหงิดแล้ว ถ้า 1 ไปไม่ได้ 2 ไปไม่ได้ 3-4-5 ยิ่งไปไม่ได้ เราแค่ไวกว่าเขา ไม่ใช่เราเก่ง แต่เรามีประสบการณ์ เลยเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ซึ่งจิตอาสาต้องช่วยเหลือกัน แต่ต้องมีผู้นำที่ดี ถ้าผู้นำนั่ง จบเลยไม่มีใครทำแล้ว

ปัจจุบัน เขาประกอบอาชีพเปิดร้านขายทองและตลับพระ รับเช่าพระ อยู่ที่ห้างพันธ์ทิพย์งามวงศ์วาน รับซื้อของเก่าตามบ้าน และเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดิน ซื้อขายและเหมาของค้างสต็อก อย่างเวลาบริษัทเลิกกิจการจะไปเหมาอุปกรณ์และเครื่องใช้ในสำนักงานทั้งหมดแล้วนำไปแยกขาย หรือไปเหมาจากโรงแรม ซึ่งจะโล๊ะเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ใหม่ ก็ไปเหมามาและไปวางขาย ซึ่งเป็นรายได้ที่ดี แต่ต้องมีประสบการณ์ บางทีก็ขาดทุน ขึ้นอยู่กับจังหวะและเราดูเป็นมั้ย ซึ่งจะกันตรงนี้ไว้ส่วนหนึ่ง ซึ่งเวลาที่เราตายไปจะมี 2 อย่างที่ตามเราไปได้ คือผลบุญกับผลกรรม และคนจะจำเราไว้ แต่ถ้าเงินทองสร้างมา สุดท้ายก็ทิ้งหายกันไป

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง