เบื้องหลัง “บิ๊กโจ๊ก” ไล่ตร.พ้นห้องแถลงข่าว

อาชญากรรม
10 ม.ค. 62
15:22
49,126
Logo Thai PBS
เบื้องหลัง “บิ๊กโจ๊ก” ไล่ตร.พ้นห้องแถลงข่าว
“พล.ต.ท.สุรเชษฐ์” ฉุนออกสื่อ ไล่ตำรวจยศนายพันที่มารอต้อนรับในงานแถลงข่าวของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พร้อมเชิญกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง

ก่อนการแถลงข่าวกวาดล้างจับผู้ต้องหาชาวต่างชาติหมายแดงตำรวจสากลที่หลบหนีเข้ามาอยู่ในไทย ซึ่งเป็นผลงานของศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่นัดแถลงข่าวในห้องแถลงข่าวของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ถ.สวนพลู โดยมี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สอาดพรรค ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. เป็นประธานการแถลงข่าว และที่ขาดไม่ได้ก็คือ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ที่เป็นทั้งรองหัวหน้าศูนย์ฯ และเจ้าบ้านที่ต้องมาร่วมแถลงข่าวด้วย

แม้การนัดหมายแถลงข่าวจะแจ้งสื่อมวลชนในเวลา 10.00 น.แต่ด้วยภารกิจของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มีจำนวนมากเวลาการแถลงข่าวก็เลื่อนไปราว 11.00 น.

วันนี้การแถลงข่าวเป็นการจับผู้ต้องหาชาวต่างชาติได้ถึง 28 คน ที่จับมาได้ในรอบ 1 เดือน และมีผู้เกี่ยวข้องร่วมสืบสวนคดีเป็นจำนวนมาก ทำให้ตั้งแต่ประตูทางเข้าจนถึงในห้องแถลงข่าว เต็มไปด้วยตำรวจที่เกี่ยวข้องและ “ไม่เกี่ยวข้อง” อยู่เป็นจำนวนมาก กอปรกับสื่อมวลชนทั้งสื่อไทยและสื่อต่างชาติมารอติดตามความคืบหน้าของคดีหญิงซาอุดีอาระเบียที่อยู่ในความดูแลของ UNHCR เกือบทุกสำนัก ทำให้ห้องแถลงข่าวในวันนี้อบอุ่นและหนาแน่นไปด้วยคนจำนวนมาก

 

 

ปกติแล้วการแถลงข่าวที่มี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มาร่วมแถลงข่าวด้วย ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม สื่อมวลชนจะเห็นภาพคนจำนวนมากมาอยู่จนชินตาแล้ว แต่วันนี้ หรือในช่วง 2-3 วันมานี้ มีเรื่องใหญ่ที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รับผิดชอบ ทำให้คนจะมากเป็นพิเศษ การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับ สว. - รองผบก. ประจำปี 2561 ที่เลื่อนมาแล้วหลายรอบ จนข้ามปียังไม่แล้วเสร็จ ทำให้ตำรวจยศ ร.ต.อ. - พ.ต.อ. จะพบเห็นได้มากในงานแถลงข่าวของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ในทุกครั้ง

ก่อนการแถลงข่าวในครั้งนี้ก็เช่นกัน ดาวบนบ่าระยิบระยับ ส่องสว่างใน สตม.อีกครั้ง แต่ครั้งนี้แสงคงสะท้อนเข้าไปนัยน์ตาของ “พล.ต.ท.สุรเชษฐ์” ระหว่างเดินเข้ามาในห้องแถลงข่าว และเดินไปที่โต๊ะแถลงข่าวทันทีและพูดใส่ไมโครโฟนให้ได้ยินกันทั่วทั้งห้องด้วยสีหน้าและท่าทางเคร่งขรึมว่า...

เดี๋ยวๆ ผู้ที่มาแล้วไม่เกี่ยวข้องให้กลับไปเลย คือถ้าจะมาวิ่งเต้นต้องกลับไป ที่นี่มันมีแต่สถานที่ทำงาน ถ้าจะมาเอาใจมาวิ่งเต้น ต้องนิมนต์กลับไป กลับไปแล้วไปทำงานที่หน่วย แล้วไปทำให้ดีนะครับ คือชุดปราบปรามที่ทำหน้าที่อะไรต่างๆ เช่น ผู้กำกับวรพจน์ อยู่ได้ไม่เป็นไร ส่วนคนที่ไม่มีหน้าที่อะไรก็กลับไปทำงานนะครับ วันนี้เขาทำงานตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน นะครับ

จากนั้นก็เดินออกจากห้องแถลงทางประตูด้านข้างทันที พร้อมกับนายตำรวจที่เดินติดตามกันเป็นประจำอยู่ ระยะเวลาทิ้งห่าง 10 นาที พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เดินกลับเข้ามา พร้อมกับเดินไปแถลงข่าวร่วมกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ที่เป็นประธานแถลงข่าวทันที

ระหว่างแถลงข่าวท่าทีของทั้งตำรวจและสื่อมวชนในห้อง ยังตกใจกับคำพูดของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ที่พูดก่อนแถลงข่าว และจับอาการของตำรวจยศนายพันได้หลายคนที่อาจถูก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หมายความถึงเริ่มค่อยๆ ตบเท้าออกจากห้องแถลงข่าวไปเป็นกลุ่มๆ จนห้องเริ่มโล่งพอให้หายใจออกมาได้บ้าง

 

จังหวะที่สื่อมวลชนยื่นไมค์สัมภาษณ์ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หลังแถลงข่าว และให้ข่าวคดีหญิงซาอุดีอาระเบีย เสร็จสิ้น ผู้สื่อข่าวก็ปิดท้ายคำถามด้วยประเด็นที่เกิดขึ้นก่อนการแถลงข่าว พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก็พร้อมตอบทันที แต่อารมณ์และสีหน้ายิ้มแย้มขึ้นมากว่าเดิม แล้วก็ตอบคำถามสื่ออีกครั้ง..

อ๋อ ก็จะให้เขาไปทำงาน เพราะว่าคือลูกน้องเนี่ย ก็คือเข้าใจว่าลูกน้องอยากให้ผู้บังคับบัญชาเห็นหน้าบ้างนะครับ แต่ว่าผมเนี่ยเป็นผู้บัญชาการ ก็อยากให้ลูกน้องไปอยู่ในพื้นที่นะครับ ไปคอยบริการประชาชน

สื่อมวลชน : เหมือนท่านรู้ว่าตำรวจที่มาเนี่ย เพื่อพยายามมาขอวิ่งเต้น-โยกย้าย ตรงนี้ถือว่าเหมาะสมไหมครับ ?

“อ๋อ อย่างนี้ เมื่อกี้ที่มาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาผมทั้งหมด วันนี้ตำรวจ ตม.ผมก็อยากให้ไปอยู่ที่ด่าน ไปอยู่ที่พื้นที่ ในชุมชน ในสถานที่ท่องเที่ยว แต่ถ้ามีหน้าที่ต้องมาที่กองบัญชาการก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่มีหน้าที่ก็ต้องไปอยู่ที่โรงพัก ไปอยู่ที่ด่าน จะได้ดูแลลูกน้องดูแลด่าน หรือไปอยู่สนามบิน ใช่ไหมครับ ก็อยากจะให้ชัดเจน

 

 

ขนาดวันนี้ผมเป็นผู้บัญชาการ ผมยังต้องทำงานเลย เพราะฉะนั้นก็อยากให้ลูกน้องได้ไปทำงาน คือไม่ต้องมาออที่กองบัญชาการ เพราะว่าคือวันนี้ผมอยู่กับลูกน้องทุกวัน และได้ทราบอยู่แล้วว่าใครทำไม่ทำบ้าง คือไม่ต้องมาพบ เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องเอาเวลาทั้งหมด ไปพบกับนักท่องเที่ยว ไปพบกับประชาชน

วันนี้เรามีการเปิดพื้นที่เมืองรอง ให้มีการท่องเที่ยวเพราะฉะนั้นพื้นที่เมืองรองเนี่ย เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเพิ่มเรื่องความปลอดภัย คือพื้นที่เมืองหลวงพื้นที่เมืองใหญ่เนี่ย ระบบความปลอดภัยสูงอยู่แล้ว เมื่อเราเปิดพื้นที่เมืองรอง กำลังพลต้องไปอยู่ในพื้นที่เมืองรองให้มาก เมืองรองบางทีก็ห่างไกลตัวชุมชน”

สื่อมวลชน : ทำไมมีตำรวจนอกเครื่องแบบ หรือนอก ตม.วิ่งเต้นเข้ามาหาท่านจำนวนมาก แปลกใจหรือไม่ ?

“คืออย่างนี้นะครับ ตำรวจนอกหน่วยอาจจะมีมาบ้าง เพราะว่าผมรับผิดชอบศูนย์ปราบปรามฯ นะครับ แล้วอาจจะอยู่กับผู้ใหญ่บ้างนะครับ แต่ว่าวันนี้ก็เหมือนกับที่เรียนแล้วว่า เราก็ต้องเอาคนทำงานมาช่วยงานนะครับ คือวันนี้การอยู่กับผู้บังคับบัญชาเนี่ย คือการเอาใจผู้บังคับบัญชา คือต้องเอาเรื่องงานมาเอาใจนะครับ

 

วันนี้ที่งานเราออกมาเยอะ ที่เราทำงานให้ประชาชนได้มาก เพราะเราต้องอาศัยบารมีของท่านรองนายกฯ มาทำงาน ซึ่งท่านก็มอบหมาย ผบ.มอบหมายผม เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็ต้องเอาคนทำงานมาช่วยกันเยอะๆ และเราในฐานผู้บังคับบัญชา ก็ต้องเป็นตัวอย่างให้กับลูกน้อง”

นักข่าวถาม : แสดงว่าท่านกำลังจะบอกว่า คนทำดีไม่ต้องวิ่งเต้น ?

"ใช่ครับ ถูกต้องครับ"

นักข่าวถาม : มีหลายภาคส่วนมองว่าท่านเป็นศูนย์กลางอำนาจ ที่มีคนจะวิ่งเข้าเพื่อวิ่งเต้น รู้สึกอย่างไงบ้างครับ ?

“คือไม่ใช่ศูนย์อำนาจ คือผมอยู่กับท่านรองนายกนะครับ อาจจะมีโอกาสที่ดีในการที่จะนำเสนอคนทำงานนะครับ วันนี้เราก็พยายามนำเสนอคนทำงานให้ท่าน แต่ว่าเรื่องการจะพิจารณาอย่างไงก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ว่าโลกวันนี้มันเปลี่ยนไปเยอะ โซเชียลมันเร็วมาก

วันนี้จะไปโกหกใครไม่ได้นะครับ รวมถึงสิ่งสำคัญเนี่ย คนที่ตัดสินใจเนี่ยก็คือประชาชน วันนี้เหมือนกันในการแถลงข่าว เช่นวันนี้สื่อจะเห็นมีผู้ต้องหาทั้งหมด 32 คน จับไปทั้งหมด 28 คน เหลืออีก 5 คน ไม่ได้หมายความว่าเราแถลงข่าวไป 28 คน จะจบแล้วกลับบ้านเลยอีก 5 คน ก็ต้องไปจับต่อแต่อีก 5 คน เมื่อจับแล้วก็ไม่ต้องเอาไปแถลงข่าวแล้ว เพราะสื่อเขาทราบแล้วว่าเราทำแล้ว

 

 

แต่ว่าวันนี้การทำงานเนี่ย ต้องทำงานแบบปิดทองหลังพระเยอะ เมื่อปิดมากๆ แล้วทองจะมาหน้าพระ แล้วประชาชนก็จะเห็นเอง เพราะฉะนั้นวันนี้ เราทำงานที่สื่อเห็นมาก็เป็นปีๆ แล้วนะครับ ก็ทำงานทุกวัน แล้วก็ร่วมกันทุกส่วน วันนี้ไม่ใช่ผมคนเดียว ถ้าผมคนเดียวก็ทำงานไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็อยากให้ตำรวจทุกคน มาอยู่ในด่านในพื้นที่ ลงไปอยู่ในพื้นที่ด่าน พื้นที่สนามบินเยอะๆ จะได้มาช่วยผมทำงาน”

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง