นายสนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน (50 มคก./ลบ.ม.) ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ว่า สถานการณ์ดังกล่าวเกินขึ้นมานานกว่า 2 เดือนแล้ว และเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี จึงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดแผนการควบคุมที่ชัดเจน เช่น การบังคับใช้กฎหมาย กำหนดเขตควบคุมเหตุรำคาญและให้กรุงเทพมหานครมีอำนาจในการควบคุมแหล่งมลพิษทั้งหมด โดยมองว่าขณะนี้ประชาชนเริ่มรับรู้และกังวลถึงผลกระทบของฝุ่นละอองขนาดเล็ก บางส่วนรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ค่อยสะดวก รวมถึงต้องต้องรณรงค์ให้พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของริมถนน หรือคนที่ทำงานกลางแจ้ง ตระหนักถึงผลกระทบจากฝุ่นละอองให้มากขึ้น
แค่ขอความร่วมมืองดใช้รถที่มีควันดำ เขาไม่เชื่อหรอกเพราะต้องทำมาหากิน ถ้าไม่ตระหนักเขาก็ไม่ร่วมมือ
นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม มองว่า มาตรการฉีดพ่นละอองน้ำ หรือกวาดล้างถนนนั้น เป็นเพียงมาตรการบรรเทาปัญหา โดยในต่างประเทศ เช่น อินเดีย ในช่วงที่อากาศปิดและมีมลพิษสูงเกินกำหนด จะใช้มาตรการจำกัดจำนวนรถยนต์ด้วยทะเบียนคู่-คี่ เพื่อลดมลพิษทางอากาศ รวมทั้งให้บริการรถขนส่งมวลชนฟรี ลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า และให้อำนาจผู้ว่าเมืองจัดการต้นตอของมลพิษ
ทั้งนี้ ไทยใช้ค่ามาตรฐานการตรวจวัดฝุ่น PM 2.5 อยู่ที่ไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม. แตกต่างจากองค์กรอนามัยโลกที่ใช้ไม่เกิน 25 มคก./ลบ.ม. ในต่างประเทศหากตรวจวัดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กได้เกิน 50 มคก./ลบ.ม. ถือเป็นสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพค่อนข้างมาก แต่หน่วยงานในไทย ทั้งกรมควบคุมมลพิษ และกรุงเทพมหานคร จะใช้คำว่า เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ หรือระดับสีส้ม มาตรการที่ใช้จึงเป็นการประชาสัมพันธ์ และขอความร่วมมือจากประชาชนและหน่วยงานราชการ ไม่ใช่การบังคับใช้กฎหมาย
ด้านนายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐเพิกเฉยต่อปัญหาดังกล่าว และมักบอกว่าเป็นเรื่องปกติของช่วงเปลี่ยนฤดูจากฤดูฝนไปฤดูหนาว พร้อมเสนอให้ตั้งศูนย์เฉพาะกิจแก้ปัญหาฝุ่นละออง โดยมีผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลและหามาตรการแก้ปัญหาในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนให้ตระหนักถึงผลกระทบของปัญหา
ปัญหาคือความเพิกเฉยของหน่วยงานรัฐ อ้างว่าเป็นปกติของช่วงเปลี่ยนฤดูแล้วไม่ทำอะไรเลย วิธีคิดแบบนี้มันต้องยกไปก่อน