เลือกตั้ง 2562 : "อภิสิทธิ์" ไม่เกรงใจใคร พร้อมนำประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล

การเมือง
22 มี.ค. 62
18:26
1,153
Logo Thai PBS
เลือกตั้ง 2562 : "อภิสิทธิ์" ไม่เกรงใจใคร พร้อมนำประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล
"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นำทีมประชาธิปัตย์ ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง วันที่ 24 มี.ค.นี้ ย้ำจุดยืน "อภิสิทธิ์ ไม่เกรงใจใคร" พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ด้วยเส้นทางประชาธิปไตยสุจริต ลดความขัดแย้ง

วันนี้ (22 มี.ค.2562) พรรคประชาธิปัตย์ จัดเวทีปราศรัยใหญ่สุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง ณ ลานคนเมือง กรุงเทพมหานคร โดยชูนโยบายสร้างโอกาส และเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง ร่วมกันตัดวงจรอุบาทว์และหยุดยั้งการโกงและเผด็จการ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. 

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ระบุว่า ตนเป็นนักการเมืองที่มาจากประชาชน และสำนึกตลอดเวลาว่าที่มายืนอยู่ตรงนี้ เพราะบุญคุณของพี่น้องประชาชน ไม่มีบุญคุณไหนยิ่งใหญ่กว่าบุญคุณที่ประชาชนมอบให้ โดยไม่มีสิ่งใดตอบแทนนอกจากการทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

ผมหาเสียงมาแล้ว 9 ครั้ง ต้องไปซับน้ำตาเกษตรกรทุกกลุ่มตลอด 2 เดือนที่หาเสียง เพราะรัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาได้จริง ป้ายของรัฐบาลปัจจุบันที่เขียนทุกอย่าง ไม่ต้องไปอ่าน เพราะถ้าทำได้จริง ประชาชนจะเดือดร้อนขนาดนี้ได้อย่างไร 

สิ่งที่เสียดายที่สุด คือ ในขณะที่ความทุกข์ของพี่น้องมีมากขนาดนี้ และประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาทุกด้าน ทำไมพรรคการเมืองอื่นเห็นประชาชนเป็นหมากในกระดานเพื่อเล่นสงครามกันในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ผ่านมาพรรคการเมืองต่างใช้วาทกรรมบังคับประชาชนให้เลือกข้าง ด้วยความโกรธและความกลัวเพื่อประดยชน์ทางการเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ถ้าประเทศจะเดินไปข้างหน้า สิ่งสำคัญต้องยั่งยื่น โดยหนทางที่จะไป การเมืองต้องเป็นการเมืองที่ดีและมีเสถียรภาพ ดังนั้น การเมืองที่ดีมีแค่ทางเดียว คือ ประชาธิปไตยสุจริต


ประชาธิปัตย์ต้องการทำการเมืองให้สุจริต ไม่มีของมาแจก ไม่มีเงินมาให้ แต่มีการรายงานข่าวการทุจริตมากมายในการเลือกตั้งครั้งนี้ ฝ่ายที่สถาปนาตัวเองเป็นประชาธิปไตย เขาจะไม่พูดเรื่องประชาธิปไตยสุจริตเช่นนี้ พรรคนั้นพูดถึงแต่ความเกลียดรัฐบาลปัจจุบัน ขอถามว่า จะวัดความเป็นประชาธิปไตยของพรรคอย่างไร

ผมเป็นหัวหน้าพรรคมา 14 ปี ไม่เคยมีใครเรียกว่าพรรคอภิสิทธิ์ มีแต่เรียกว่าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะผมไม่ใช่เจ้าของพรรคนี้ ไม่มีนายทุนใหญ่มาสนับสนุน แต่มาจากการเลือกด้วยประชาธิปไตย 

ส่วนเรื่องการร่วมงานกับพรรคอื่น ถ้าพรรคพลังประชารัฐไม่มี 2 เงื่อนไข คือ ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ ก็อาจจะพูดคุยกันได้ สิ่งที่ประชาชนกลัวมี 2 เรื่อง ที่เรียกว่าระบอบทักษิณ ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นพฤติกรรมของทักษิณ แต่เป็นความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง แต่วันนี้ฝ่ายที่เอาความกลัวระบอบทักษิณมาครอบงำประชาชน ถามว่าวันนี้ต่างจากระบอบทักษิณไหม 

คุณเอาความเลว ชนะความเลว มันไม่มีหรอกครับ นั่นหมายถึงคุณแพ้แล้ว ที่ทำเลวเหมือนกัน 

ส่วนความกลัวที่ 2 คือ กลัวบ้านเมืองไม่สงบ บางคนบอกว่าอภิสิทธิ์อ่อนแอ ทำให้ประเทศเกิดความขัดแย้ง ตนออกจากประตูสภาหลังจากที่ได้รับเลือกเป็นนายกก็เจอความขัดแย้งแล้ว เนื่องจากถูกสั่งสมมาหลายปี

รอง ผบ.ทบ. ตอนนั้น คือ พล.อ.ประยุทธ์ ผมไม่เคยตำหนิพวกท่านเลย ทั้งๆ ที่วันที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านบอกว่า เรื่องความสงบและความมั่นคงให้เป็นหน้าที่ของท่าน ส่วนผมให้ไปดูแลบ้านเมืองด้านอื่น ผมไม่เคยโทษท่านเลย เพราะในตอนนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

เหตุการณ์ช่วงนั้นผมไม่ปฏิเสธ ผมขอรับผิดชอบ แต่วันนี้ ทันทีที่มีการเลือกตั้ง ทันทีที่มีรัฐบาลใหม่ เราจะเข้าสู่รัฐบาลใหม่ เวทีดีเบต ขณะนี้มีพรรคการเมืองบางพรรคตั้งตัวขัดแย้งแล้ว โดยปัญหาใหญ่ คือ การสืบทอดอำนาจ 

 

อภิสิทธิ์ ฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ "ถอยดีกว่า"

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อสักครู่ขึ้นเวทีไปร้องเพลงและพูดไม่กี่คำก็ลงเวทีไป แต่ทุกเวทีที่เขาจัดดีเบต ที่จะต้องมีการถกเถียงกัน ทั้งท่านและพลังประชารัฐไม่ไป แล้วถ้าท่านไปเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านเข้าสภาไป ท่านจะเจออะไร ชีวิตผมเคยเจอการสืบทอดอำนาจ โดยการปฏิวัติตัวเอง เนื่องจากนายกรัฐมนตรีทน ส.ส.ไม่ไหว โดยเฉพาะ ส.ส.พรรคตนเอง จนนำไปสู่การนองเลือด

ผมไม่รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะทน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐได้หรือไม่ จริงๆ ผมคิดว่าท่านถอยไปจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับท่าน ถือเป็นความปรารถนาดีที่ผมอยากจะส่งไปถึงท่านด้วย

นอกจานี้ นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า สังคมไทยจะมีวิวัฒนาการ ยุคนี้การจะไปปลุกระดมให้คนออกมาประท้วงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ และตำรวจ หรือเหล่าทัพที่ไม่ใช่ คสช.เขามีวุฒิภาวะมากพอที่จะปฏิบัติหน้าที่ 

 


วันในที่ 24 มี.ค.นี้ ขอให้ทุกคนกล้าที่จะแสดงความเป็นเจ้าของประเทศ เพื่อเลือกเส้นทางที่ต้องการจะไป หากวันนี้ยังลังเลที่จะเลือกพรรคที่จะทุจริตคอร์รัปชัน หรือพรรคที่เสี่ยงจะทำรัฐประหาร เราจะต้องให้ประเทศไทยสูญเสียไปอีกกี่ปีที่จะทำให้ประชาชนเดินหน้าเทียบเท่าสากลได้ ประเทศไทยเดินวนต่อไปอีกไม่ได้แล้ว

สื่อถามแต่ว่าถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ พี่น้องประชาชนไม่ต้องลังเล นายอภิสิทธิ์ ไม่เกรงใจใคร ประชาธิปัตย์ไม่ถ้าอะไรทั้งนั้น พร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เดินหน้าสู่จุดหมายอย่างเดียว ถึงเวลาประชาธิปไตยสุจริต เดินไปด้วยกัน 24 มี.ค.นี้

ประชาชนตัดสินง่ายจาก 3 ขั้วพรรคการเมือง

ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ระบุว่า คนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกผู้ใดมีอยู่มากกว่า ร้อยละ 40 ดังนั้น การลงพื้นที่หาเสียง และการปราศรัยจึงเป็นสิ่งสำคัญในการ
ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มี 3 ขั้วพรรคการเมืองที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

  1. ขั้วพรรคไทยรักไทยเดิม
  2. ขั้วพรรคพลังประชารัฐ
  3. ขั้วพรรคประชาธิปัตย์

สำหรับ 3 ขั้วนี้ ประชาชนตัดสินใจเลือกไม่ยาก เพราะแตกต่างกันสิ้นเชิง โดยประชาชนจะต้องมองคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี ผลงานที่ผ่าน และจุดยืนทางการเมือง ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐหากได้จัดตั้งรัฐบาลจะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั้ง 5 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้พิสูจน์แล้วว่า ทำให้ประเทศสงบจริง แต่ไม่ได้แก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้ประชาชน ทำให้ประเทศไทยเกิดสภาวะรวยกระจุก จนกระจาย  

จุดยืนทางการเมือง พรรคพลังประชารัฐขายความสงบ โดยชูสโลแกน เลือกความสงบจบที่ลุงตู่ แต่ความสงบอย่างเดียวไม่พอ ท้องต้องอิ่มด้วย 


ส่วนพรรคเพื่อไทยหากได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล คุณหญิงสุดารัตน์ ยังไม่ตอบว่า 3 คน ที่ส่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ยังไม่ทราบว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องกลับไปถามพรรคก่อน

พรรคไทยรักไทยเดิม เคยมีนายกมาแล้ว 4 คน ไปทัศนศึกษาต่างประเทศมาแล้ว 2 คน ถูกยึดอำนาจไปแล้ว 2 ครั้ง จุดยืนไทยรักไทยเดิม ขายประชาธิปไตย และไม่สืบทอดอำนาจเผด็จการ แต่เพื่อไทยอาจมีพยายามออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อพาใครบางคนกลับบ้าน

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ชัดเจนตั้งแต่ต้น เสนอให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤษแฮมเบอร์เกอร์ นายอภิสิทธิ์ พาประเทศพ้นวิกฤตเศรษฐกิจได้ และทำให้เศรษฐกิจโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ประชาธิปัตย์ไม่เคยมีมลทินเรื่องทุจริต ถ้าประชาธิปัตย์เป็นแกนตั้งรัฐบาล จะไม่ให้เกิดความขัดแย้ง

ประชาธิปัตย์ไม่แบ่งซ้าย แบ่งขวา แบ่งเหลือง แบ่งแดง แต่ประชาธิปัตย์จะให้ความเคารพและเดินตามระบบรัฐสภา และให้เกียรติฝ่ายที่ได้เสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาล พาประเทศพ้นจากวิกฤต

หวังคนรุ่นใหม่กว่า 7 ล้านคน เลือกอนาคตที่ทำได้จริง

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ระบุว่า คนรุ่นใหม่ต้องการเห็นความชัดเจนทางจุดยืนทางการเมือง ว่าจะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เราไม่ได้พูดว่าเราไม่ชอบ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เราสนับสนุนการเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตย ที่ประกอบด้วย ประชาธิปไตยสากล ความเหลื่อมล้ำต้องลดลง ประชาธิปไตยที่สุจริต

ผมถามว่า พรรคใดที่ตั้งมากว่า 70 ปี แต่ไม่เคยมีข้อครหาเรื่องการทุจริตเลย พรรคนั้น คือ พรรคประชาธิปัตย์ สิ่งที่ผมพูดในวันนี้แม้จะไม่ถูกใจ แต่มันถูกต้อง

หากถูกใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะประเทศไทยสงบ แต่ต้องคิดถึงประเทศที่ต้องอยู่ภายใต้มาตรา 44 และหากชื่นชอบที่ประเทศไทยไม่มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ที่ผ่านมาปัญหาคอร์รัปชันไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย

ประชาธิปัตย์พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับคนทุกรุ่น และพร้อมจะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน และขอรณรงค์ให้คนรุ่นใหม่กว่า 7 ล้านคนทั่วประเทศลองคิดว่าต้องการสิ่งใดกันแน่ ระหว่างความสะใจชั่วครู่กับการเปลี่ยนแปลงที่ทำได้จริง


นายพริษฐ์ ย้ำว่า ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ต้องพร้อมที่จะรับฟัง แม้ในอนาคตจะมีพรรคการเมืองบางพรรคที่พูดอะไรก็ถูกใจท่าน แต่ในอนาคตไม่แน่ว่าเขาจะรับฟังประชาชนหรือไม่

การเลือกพรรคก็เหมือนการเลือกคนรัก ที่อาจเจอคนที่ตรงสเป็ก ทำอะไรก็ถูกใจไปหมด แต่ความรักที่ยั่งยืน เราต้องเลือกคนที่พร้อมจะอยู่กับเราในวันที่เราตกต่ำและพร้อมรับฟังคุณ ผมพอแล้วกับรักแรกพบ สิ่งที่ผมต้องการตอนนี้ คือ คู่ชีวิต

ตัวแทนประชาชน ต้องแก้ปัญหา "คนจนไปหมด"

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า การลงพื้นที่หาเสียงครั้งนี้ ลงพื้นที่มาแล้ว 47 จังหวัด 127 เขต สิ่งหนึ่งที่ได้รับฟังมาทั้งหมดร้อยละ 100 มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ รายได้ไม่พอรายจ่าย ปัญหาความยากจน ปัญหาข้าวของแพง ขายของไม่ได้ ซึ่งปัญหาเกิดจากรายได้ที่ลดน้อยลงเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา ตลอดรัฐบาลชุดปัจจุบัน 


ถ้าเทียบกับปี 2554 มาถึงปีนี้รายได้ต่อครัวเรือนลดลงกว่า 14,131 บาท พร้อมเน้นย้ำการสร้างโอกาสทางการศึกษาโดยกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา และต้องสร้างจิตสำนึกให้ใช้ทุนคืน ปลูกฝังการสร้างคนดีเพื่อเป็นหัวใจการพัฒนาบ้านเมือง ตามนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ที่เรียกว่า "สร้างคน"

พี่น้องร้อยละ 100 มีปัญหาปากท้อง ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับที่รัฐบาลประกาศ เพิ่มรายได้ให้ประชาชน และทำให้คนจนหมดไป แต่ผลที่ได้คือ คนจนไปหมด ประชาธิปัตย์ส่งหนังสือถึงรัฐบาลเพราะรู้ว่าไม่มีใครพูดแทนประชาชน

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง