พรรคอันดับ 2 ที่รวมเสียงได้มากกว่าแล้วเป็นเสียงส่วนมาก ผมไม่ได้ขัดข้อง อันนี้คือหลักการของประชาธิปไตย แต่ผมก็ยังยืนยันว่าในส่วนตัวผมไม่ได้ชอบลุง
ถ้อยคำที่นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย จ.ศรีสะเกษ ได้เคยประกาศระหว่างการลงพื้นที่หาเสียงทุกครั้งโดยประกาศไม่เลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนจะชนะเจ้าของพื้นที่เดิมจากพรรคเพื่อไทย อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นายสิริพงศ์ ตัดสินใจงดออกเสียงไม่เลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯเพราะกังวลว่าจะกระทบกับการทำงานในพื้นที่เพราะเคยให้สัญญากับชาวบ้านในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
คุณสิริพงศ์ต้องทำตามสัญญาโดยเฉพาะชาวบ้านในเขตเลือกตั้งที่ 1 ที่สนใจการเมือง คุณสิริพงศ์เคยพูดไว้ว่าจะไม่สนับสนุนเผด็จการ เมื่อถึงคราวจะต้องเลือกนายกฯ ซึ่งผู้ถูกเสนอชื่อแล้วพรรคไปสนับสนุนก็มาจาก คสช.ซึ่งก็น่าเห็นใจ แต่หากมองอีกด้านหนึ่ง ทำไมสังคมไม่ให้โอกาสเขาคุณสิริพงศ์น่าจะเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ยึดคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
นายมหาหิงค์ ไพรสินธุ์ อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ ยังมองว่า การกระทำของนายสิริพงศ์ ถือว่า เป็นการกระทำที่กล้าหาญเพราะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนโดยอยู่ภายใต้กฏหมาย ที่ถือให้เอกสิทธิ์การตัดสินใจของ ส.ส. และมองว่านายสิริพงศ์ตัดสินใจด้วยความลำบากใจ เพราะพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ยึดติดกับพรรคการเมือง ทำให้นายสิริพงศ์ ต้องเลือกทางออกแบบนี้เพื่ออนาคตทางการเมืองของตัวเอง
นายมหาหิงค์ ไพรสินธุ์ อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ
นายมหาหิงค์ ไพรสินธุ์ อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ
ขณะเดียวกันแหล่งข่าวในพื้นที่ ยังระบุอีกว่า การตัดสินใจของนายสิริพงศ์ในครั้งนี้ เกิดจากแรงกดดันในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งคู่แข่งจากพรรคเพื่อไทยประกาศตัวชัดเจนว่า ไม่เลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำให้นายสิริพงศ์ ต้องใช้กลยุทธ์ในการหาเสียง แข่งกับเจ้าของพื้นที่เดิมอย่างพรรคเพื่อไทยจนได้รับการเลือกตั้ง