วันนี้ (16 ก.ค.2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส่งท้ายการทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วยการนั่งเป็นประธานประชุมสภากลาโหมวาระพิเศษส่งท้าย เพื่อขอบคุณกองทัพที่ร่วมทำหน้าที่เป็นกลไกของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มากว่า 5 ปี
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
จากปัญหาสุขภาพของ พล.อ.ประวิตร ก่อนหน้านี้ และเงื่อนไขการเฟ้นหาตัวบุคคลที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ช่วงเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาล-คสช.เป็นรัฐบาลตามกลไกปกติไม่ใช่เรื่องง่าย จึงน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เลือกควบสูตรเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนี้
รศ.ยุทธพร อิสรชัย
รศ.ยุทธพร อิสระ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นตำแหน่งสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ และทุกรัฐบาลจะเลือกบุคคลที่เข้าใจกองทัพมาทำหน้าที่นี้ โดยเชื่อว่าบทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม น่าจะเปลี่ยนไปจากช่วงที่เป็นหัวหน้า คสช.ด้วยกลไกของอำนาจที่ไม่เหมือนเดิม
ที่่ผ่านมา มีนายกรัฐมนตรีหลายคนควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่ยุครัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ, พล.อ.สุจินดา คราประยูร, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ, นายชวน หลีกภัย รวมไปถึงนายสมัคร สุนทรเวช, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหญิงคนแรกของประเทศไทย แต่สุดท้ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ถูกรัฐประหาร โดย คสช.จากการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อย่างไรก็ตาม การควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของนายกรัฐมนตรีในหลายรัฐบาล จึงไม่ใช่หลักประกันว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง รัฐประหาร หรือแม้แต่คลื่นใต้น้ำในกองทัพ แต่เป็นการเพิ่มความมั่นใจต่อเสถียรภาพรัฐบาล โดยเฉพาะสถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องเผชิญกับปัจจัยทางการเมืองที่รุมเร้าหลายด้านทั้งภายในและนอกสภาฯ