วันนี้ (8 ส.ค. 2562) ความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานเหนือดินแดนแคชเมียร์ยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกตลอด 70 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่บริเวณนี้เต็มไปด้วยความซับซ้อนในมิติด้านอุดมการณ์ทางการเมือง ศาสนา และบาดแผลทางประวัติศาสตร์
ภูมิหลังจัมมูและแคชเมียร์
ในช่วงที่อังกฤษยึดครองดินแดนอนุทวีป จัมมูและแคชเมียร์มีสถานะเป็นรัฐมหาราชาที่มีเจ้าผู้ปกครองท้องถิ่นไม่ได้ถูกอังกฤษปกครองโดยตรง จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษจึงมอบอธิปไตยแก่ดินแดนภายใต้การปกครอง เมื่อเดือน มิ.ย. 2490 และแบ่งดินแดนออกเป็นอินเดียและปากีสถาน ทำให้รัฐมหาราชาต่างๆ ต้องเลือกฝั่งให้สอดคล้องกับสัดส่วนทางศาสนาของประชากรในแต่ละรัฐ
อย่างไรก็ตามมหาราชาฮารี ซิงห์ เจ้าผู้ปกครองจัมมูและแคชเมียร์ซึ่งเป็นชาวฮินดู ตัดสินใจรวมดินแดนกับอินเดีย แม้ว่าประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม จนสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก นำไปสู่การเผชิญหน้ากันระหว่างอินเดียกับปากีสถานและกลายเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มติดอาวุธเรียกร้องเอกราชจากอินเดียอย่างต่อเนื่อง
รัฐจัมมูร์และแคชเมียร์แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
1. จัมมู ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู
2. แคชเมียร์ ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม
3. ลาดักห์ ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธแบบทิเบต
แผนที่รัฐจัมมูและแคชเมียร์ในปัจจุบัน
ตามมาตรา 370 ของรัฐธรรมนูญอินเดียให้สิทธิพิเศษแก่จัมมูและแคชเชียร์ในการออกกฎหมายและการมีธงประจำรัฐ โดยมาตราดังกล่าวถือเป็นการคุ้มครองอัตลักษณ์ของประชากร เนื่องจากจัมมูและแคชเมียร์เป็นเพียงรัฐเดียวของอินเดียที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60
ชนวนความขัดแย้ง
ชนวนความขัดแย้งครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก ราม นาถ โกวินท์ ประธานาธิบดีและสมาชิกวุฒิสภาลงมติเพิกถอนมาตรา 370 ของรัฐธรรมนูญเพื่อยกเลิกสถานะพิเศษของรัฐจัมมูและแคชเมียร์ เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2562 เพื่อหลอมรวมจัมมูและแคชเมียร์ให้เป็นส่วนหนึ่งของอินเดียและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากภายนอกมากขึ้น
ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอินเดียออกกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งดินแดนสหภาพแห่งใหม่ (Union Territory) ส่งผลให้จัมมูและแคชเมียร์เปลี่ยนสถานภาพจากรัฐที่มีสิทธิในการปกครองตนเองเป็นดินแดนที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางอินเดียอย่างสมบูรณ์ โดยกฎหมายฉบับนี้แบ่งพื้นที่ดินแดนสหภาพเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1. จัมมูและแคชเมียร์
2. ลาดักห์
ความเคลื่อนไหวของอินเดียทำให้อิมราน ข่าน นายกรัฐมนตรีปากีสถานประกาศระงับความร่วมมือทางการค้าของทั้ง 2 ประเทศและลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตด้วยการสั่งขับข้าหลวงใหญ่อินเดียประจำกรุงอิสลามาบัดออกจากประเทศ
นอกจากนี้ยังสั่งการให้กองกำลังปากีสถานยกระดับการลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยในพื้นที่เปราะบางอย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัยและเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ปัญหาข้อพิพาทในครั้งนี้
การเพิกถอนสถานะพิเศษของรัฐจัมมูและแคชเมียร์สร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวมุสลิมในแคชเมียร์เป็นอย่างมาก นำไปสู่การชุมนุมประท้วงและการจุดไฟเผาภาพของนเรนดรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย และธงชาติอินเดียด้วยความโกรธแค้น
ชาวมุสลิมชุมนุมประท้วงต่อต้านการเพิกถอนสถานะพิเศษ
ผลกระทบการยกเลิกสถานะพิเศษ
ความเปลี่ยนแปลงอันน่าสนใจที่จะเกิดขึ้นหลังการยกเลิกสถานะพิเศษ ได้แก่
1. ไม่อนุญาตให้ใช้ธงประจำรัฐและใช้ได้เฉพาะธงชาติอินเดียเท่านั้น
2. เปิดทางให้รัฐบาลอินเดียเข้าไปแทรกแซงการเงินได้ในยามฉุกเฉิน
3. อนุญาตให้ชาวอินเดียทั่วประเทศถือครองที่ดินในรัฐนี้ได้อย่างอิสระ
ขณะที่ ผศ.ดร.มาโนชญ์ อารีย์ นักวิชาการด้านการเมืองเอเชียใต้และตะวันออกกลาง ระบุว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้สุ่มเสี่ยงต่อการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างอินเดียกับปากีสถานและการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธในแคชเมียร์ที่ไม่พอใจอินเดียอยู่เป็นทุนเดิม
ในมุมของปากีสถาน การที่อินเดียมีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของแคชเมียร์ขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากขณะนี้พื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ของสหประชาชาติอยู่
ผศ.ดร.มาโนชญ์ อารีย์
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการส่งกำลังทหารและการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยด้วยการตัดสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตในแคชเมียร์ถือเป็นการส่งสัญญาณถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่น่าจับตามองคือทางออกของข้อพิพาทเหนือพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อนสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกจะดำเนินต่อไปอย่างไร
พงศธัช สุขพงษ์