ปัญหายอดร้านค้าเข้าร่วมโครงการ “ชิม ช้อป ใช้” ทั่วประเทศเพียง 3,300 แห่ง จากจำนวนร้านค้าเป้าหมาย 50,000 ร้านค้า ทำให้นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะเสนอคณะรัฐมนตรี ปรับปรุงแก้ไขขอบเขตประเภทสินค้าและบริการ ที่สามารถใช้จ่ายผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ช่องที่ 2 หรือช่องที่ประชาชนเติมเงินใช้จ่ายเอง แต่จะได้รับเงินคืนร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่าย จากเดิมจำกัดประเภทสินค้าและบริการท้องถิ่น เป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจนำเที่ยว สปา เช่ารถ แต่ต้องมีเอกสารรับรองจากทางราชการ ซึ่งผ่อนปรนจากเดิมต้องเป็นธุรกิจที่จดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์
นอกจากนี้ กรมบัญชีกลางและคลังจังหวัด จะลงพื้นที่เข้าไปพบเจ้าของโรงแรม ร้านค้า ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงของจังหวัด ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพื่อขอให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ จากเดิมที่ผู้ประกอบการต้องเดินทางเข้ามาพบคลังจังหวัด หรือกรมบัญชีกลางด้วยตัวเองรวมทั้งอาจเสนอขยายเวลารับลงทะเบียนด้วย จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 20 กันยายนนี้
นายลวรณ กล่าวอีกว่า ได้หารือกับอธิบดีกรมสรรพากรแล้วว่าการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “ชิม ช้อป ใช้” จะไม่มีการนำข้อมูลของผู้ประกอบการไปเชื่อมโยงกับกรมสรรพากร จึงขอให้ผู้ประกอบการอย่ากังวลปัญหาการถูกตรวจสอบรายได้ และการเสียภาษี
ผมเคยคิดมาตรการ “เที่ยว ฟรี ไม่มี VAT แต่หักกลบลบหนี้แล้ว มองว่า อย่าไปยุ่งกับกรมสรรพากรดีกว่า เดี๋ยวมาตรการจะถูกมองแง่ลบ และขอย้ำว่าผู้ประกอบการที่เข้าโครงการ ชิม ช้อป ใช้ ไม่ถูกตรวจสอบภาษีอย่างที่กังวล
ส่วนปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย ไตรมาสแรกของปี อยู่ในระดับสูงร้อยละ 78.7 ต่อจีดีพี นายลวรณ ชี้แจงว่าหนี้คงค้างในระดับส่วนใหญ่ เป็นหนี้ภาคธุรกิจและหนี้บริโภค ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน จึงไม่กังวลว่าจะกระทบเศรษฐกิจอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้วางมาตรการกำกับดูแลหนี้ครัวเรือน 2 มาตรการ แบ่งเป็นมาตรการด้านการให้ความรู้ และเพิ่มทักษะบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคล และมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ ลูกหนี้ ในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ หลังพบว่า ปัญหาหนี้สินด้อยคุณภาพของประชาชน มาจากการแบกภาระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายจากการผิดนัดชำระหนี้ซ้ำซ้อน และเสนอสินเชื่อบริโภคที่เหมาะสมกับลูกหนี้แทน