ขยายผลจับกุม “โบท็อกซ์ -ฟิลเลอร์” ผิดกฎหมาย

สังคม
19 ก.ย. 62
15:07
2,241
Logo Thai PBS
ขยายผลจับกุม “โบท็อกซ์ -ฟิลเลอร์” ผิดกฎหมาย
อย.ร่วมกับ บก.ปคบ.จับกุมเครือข่ายลักลอบนำเข้า โบท็อกซ์ – ฟิลเลอร์ ลักลอบจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาต ผ่านสื่อออนไลน์ พร้อมเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ เสี่ยงได้รับอันตราย และเสียโฉมได้

วันนี้ (19 ก.ย.2562) นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) พร้อมด้วย นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ ภกญ.สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการ อย. ร่วมกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค(บก.ปคบ.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ ผู้บังคับการ บก.ปคบ. พ.ต.อ. ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ ผู้กำกับการ 4 บก.ปคบ. ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท. ธีรภพ พันธุชาติ พร้อมทีมงาน ร่วมกันนำกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมาย บ้านเลขที่ 141/516 ชั้น 27 คอนโด เบลล่า เอเวนิว ถนนพระราม 9 แขวง/เขต ห้วยขวาง กรุงเทพฯ

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการ อย.กล่าวว่าการนำกำลังเข้าจับกุมในครั้งนี้ เนื่องมาจากเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2562 มีการแถลงข่าวจับกุมเครือข่ายบริษัทผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาละเมิดเครื่องหมายการค้าในพื้นที่เป้าหมาย ลักษณะเป็นห้องคอนโดมิเนียมที่ใช้เป็นแหล่งพักสินค้า จำหน่ายให้กับลูกค้าหลายกลุ่ม หลังจากนั้นได้มีการขยายผลสืบสวน แกะรอยเส้นทางการกระทำผิดจนกระทั่งพบเบาะแสใหม่ ซึ่งเป็นข้อมูลผู้ที่ลักลอบขายฟิลเลอร์ ผ่านสื่อแอปพลิเคชันไลน์ ชื่อ TID - KHEM เพื่อทำการติดต่อซื้อโบท็อกซ์ และ ฟิลเลอร์

 

 

 

พร้อมทั้งยังได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดส่งให้ตำรวจเพื่อทำการสืบสวนเชิงลึก กระทั่งพบต้นตอของผู้ที่กระทำความผิด และนำไปสู่การเข้าตรวจค้น ซึ่งพบของกลางแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

1.ยาที่ขึ้นทะเบียนตำรับยา เช่น วิตามินบีรวมชนิดฉีด เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์
2.กลุ่มยาไม่มีทะเบียน เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ คอลลาเจน กลูตาไธโอน วิตามินซีไลโป
3.เครื่องสำอางที่ไม่แสดงฉลากภาษาไทยและเครื่องสำอางที่แสดงฉลากภาษาไทยไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง

การกระทำดังกล่าวมีความผิดตามกฎหมาย ดังนี้

พ.ร.บ.ยา ปี 2510

  • นำเข้าและขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • นำเข้าและขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท

พ.ร.บ.เครื่องสำอาง ปี 2558

  • จำหน่ายเครื่องสำอางที่ไม่แสดงฉลากภาษาไทยและเครื่องสำอางที่แสดงฉลากภาษาไทยไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า ปี 2534

  • จำหน่าย เสนอจำหน่าย มีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม เครื่องหมายการค้าของผู้อื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว ในราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 4 ปีหรือปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ
  • จำหน่าย เสนอจำหน่าย มีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว ในราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พ.ร.บ.ศุลกากร ปี 2560

  • นำเข้าของที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีการศุลกากรหรือเคลื่อนย้าย โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศุลกากร โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ปรับ 4 เท่า ของราคาของที่รวมค่าอากรด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับและริบของนั้นด้วย

นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการ อย. ย้ำเตือนไปยังผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและสถานพยาบาลทุกแห่ง ทั้งแพทย์ผิวหนังแพทย์ศัลยกรรม แพทย์ด้านความงาม จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ต้องมีจรรยาบรรณ แห่งวิชาชีพต้องใช้ยาที่มีทะเบียนตำรับยา และ ให้การบริการเป็นไปตามมาตรฐานด้วย หากพบการกระทำความผิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย กรณีพบแพทย์เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเสียเอง จะต้องถูกส่งไปยังแพทยสภาให้ดำเนินการ เอาผิดทางจรรยาบรรณแพทย์ต่อไป

พล.ต.ต. ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ ผู้บังคับการ บก.ปคบ. กล่าวเพิ่มเติมว่า การสนธิกำลังร่วมกันเข้าตรวจค้นในครั้งนี้ ได้ตรวจยึดสินค้าที่เป็นยา และ ผลิตภัณฑ์เสริมความงามจำนวนมาก ซึ่งสินค้าดังกล่าวมีผลกระทบต่อสุขภาพและอนามัยของผู้บริโภคโดยตรง ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะอาจกระทบต่อการตัดสิทธิพิเศษทางการค้าทำให้สินค้าของไทยบางรายการ ไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ เนื่องจากประเทศไทยได้รับการจัดอันดับ ตามมาตรา 301 พิเศษ ของประเทศสหรัฐอเมริกาให้อยู่ในระดับ Watch List (WL) ซึ่งมุ่งหวังจะให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากทุกบัญชีที่ถูกจับตามองของต่างประเทศ และ พร้อมที่จะประสานให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการ หรือภาคเอกชน โดยจะร่วมมือกันปราบปรามผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมายและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย

 

 

 

ภกญ.สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการ อย.กล่าวในตอนท้ายว่า ขอเตือนประชาชน ให้ระมัดระวังการเข้ารับบริการ หากมีความประสงค์ที่จะฉีดสารใดๆ เพื่อความสวยงาม ควรเข้ารับบริการฉีดกับสถานพยาบาลที่มีใบอนุญาตประกอบสถานพยาบาลตามกฎหมาย เลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและต้องอยู่ประจำ ก่อนการฉีดควรสอบถามและขอดูตัวยาที่ใช้ว่ามีการอนุญาตขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจาก อย.หรือไม่

และขอย้ำเตือนไปยังผู้บริโภคอย่าซื้อยาไปใช้เอง หรือฉีดกับหมอเถื่อน อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิต เพราะการฉีดยาบนใบหน้าต้องดำเนินการโดยแพทย์ที่มีความรู้ด้านกายวิภาคบนใบหน้าเป็นอย่างดี เนื่องจากบนใบหน้ามีกล้ามเนื้อเล็ก ๆ และเส้นเลือดมากมาย จึงต้องฉีดด้วยความระมัดระวัง หากเกิดอันตรายจากการแพ้ ทางสถานพยาบาลจะได้รับผิดชอบและช่วยเหลือได้ทันท่วงที

ข่าวที่เกี่ยวข้อง