การอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ถูกจับตามองว่าอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เนื่องจากเป็นร่างกฎหมายสำคัญ วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท และกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 17 ต.ค.นี้ เพื่อพิจารณารับหลักการวาระแรก โดยคาดว่าจะใช้เวลา 2 - 3 วัน
ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 บทพิสูจน์รัฐบาล"ปริ่มน้ำ"
มีเสียงเรียกร้องจากฝ่ายค้าน หรือแม้แต่ในฝ่ายรัฐบาลเอง ที่เห็นตรงกันว่า หากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2563 ไม่ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลก็จะต้องแสดงความรับผิดชอบ
เสียงเตือนจากในซีกรัฐบาลนั้นก็เป็นเพราะจำนวน ส.ส.ของรัฐบาลและฝ่ายค้านใกล้เคียงกันมาก หรือที่เรียกกันว่า “รัฐบาลปริ่มน้ำ” ประกอบกับที่ผ่านมารัฐบาล ก็เคยแพ้การลงมติในสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 2 ครั้ง ในการพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภาฯ เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา และมีการกล่าวโทษว่าเป็นเพราะ “ระบบเสียง”ของรัฐสภาไม่ดี ทำให้ ส.ส.ที่อยู่นอกห้องประชุมไม่สามารถติดตามการประชุมได้
เช็กจำนวน ส.ส.ฝ่ายค้าน – รัฐบาลล่าสุด
เมื่อตั้งรัฐบาลในวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา พรรคร่วมรัฐบาลมี 19 พรรค และมี ส.ส. 254 เสียง ขณะที่ฝ่ายค้าน 7 พรรค มี ส.ส.จำนวน 246 เสียงแต่ 3 เดือนผ่านไป ส.ส.ในฝั่งรัฐบาล เหลือเพียงจำนวน 251 เสียง หายไป 3 เสียง ได้แก่
1.พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ อดีต ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากต้องคำพิพากษาจำคุกคดีล้มการประชุมอาเซียนซัมมิท
2. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ถอนตัวไปเป็นฝ่ายค้าน เพราะไม่พอใจการจัดสรรตำแหน่งประธานกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎร
3.นายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.และหัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย ถอนตัวไปเป็นฝ่ายค้าน จากกรณีเดียวกัน
แม้การย้ายขั้วของ ส.ส.จาก 2 พรรคเล็ก ทำให้จำนวน ส.ส.ฝ่ายค้านเพิ่มขึ้น 2 คน แต่ก็มี ส.ส.เก่าของฝ่ายค้านที่หายไป 3 คน ทำให้ฝ่ายค้านยังคงมี ส.ส.ลดลงจากจำนวน 246 เสียง เป็น 245 เสียง ซึ่ง ส.ส.ที่หายไป ได้แก่
1.ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่จากกรณีคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.
2. นางจุมพิตา จันทรขจร ส.ส.นครปฐม พรรคอนาคตใหม่ ที่ลาออกเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ทำให้ต้องเลือกตั้งซ่อม 23 ต.ค.นี้
3.นายนวัธ เตาะเจริญสุข ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ที่ถูกศาลพิพากษาประหารชีวิตในคดีจ้างวานฆ่าอดีตปลัด อบจ.ขอนแก่นและไม่ให้ประกันตัว
ทำให้จำนวน ส.ส.รัฐบาลต่อฝ่ายค้าน อยู่ที่ 251 ต่อ 245 เสียง ต่างกันเพียง 6 เสียงเท่านั้น ซึ่งหากประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรอีก 2 คน ซึ่งเป็น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ต้อง “งดออกเสียง” เพื่อรักษาความเป็นกลางในการทำหน้าที่ ก็จะทำให้ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเหลือ 248 เสียง ส่วนฝ่ายค้านมี 245 เสียง ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวลสำหรับรัฐบาลพอสมควร แม้จะมีเสียงจากแกนนำรัฐบาลออกมาแสดงความมั่นใจว่า รัฐบาลจะได้เสียงข้างมากในการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ก็ตาม
2 ทางเลือกรัฐบาล
ทั้งนี้ หากรัฐบาลเกิดการเพลี่ยงพล้ำหรือเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถได้เสียงข้างมาก ก็ยังคงมีทางเลือก 2 ทาง ในการแสดงความรับผิดชอบ ก็คือ “ยุบสภา” หรือ “ลาออก” ซึ่งความแตกต่างก็คือ หากยุบสภา จะต้องมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ ขณะที่การลาออกจะเปิดทางให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยไม่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่
ทั้งนี้ไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่รัฐบาลต้องการทั้ง 2 ทาง เพราะหากลาออก เพื่อให้พรรคการเมืองจับขั้วตั้งรัฐบาลกันใหม่ ประสบการณ์ในการตั้งรัฐบาลครั้งที่ผ่านมา ก็ทำให้เห็นแล้วว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ก็จะได้เสียงข้างมากก็ต้องเจรจากับพรรคการเมืองมากถึง 19 พรรค แต่แค่ 3 เดือนก็หายไปแล้ว 2 พรรค เหลือ ส.ส.พรรคเล็กเพียง 7 พรรค จาก 9 พรรค ซึ่งทุกคะแนนล้วนแต่เป็นตัวแปรสำคัญทั้งสิ้น
ที่ผ่านมาก็มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลพยายามดึง ส.ส.จากซีกฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นพรรคเศรษฐกิจใหม่ เพื่อไทยหรืออนาคตใหม่บางคน บางกลุ่มให้ย้ายขั้ว โดยปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจัยสำคัญในการดึงดูด ส.ส.ฝ่ายค้าน ก็คือ เม็ดเงินงบประมาณจำนวน 3.2 ล้านล้านบาท ที่อยู่ในอำนาจการบริหารจัดการของรัฐบาลนั่นเอง
แน่นอนว่ารัฐบาลจะต้องพยายามทำทุกวิถีทาง ที่จะทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ผ่านความเห็นชอบจากสภาไปให้ได้ โดยเฉพาะในวาระรับหลักการ (วาระแรก) และหลังจากนั้นในขั้นตอนของการแปรญัตติ ก็ถือเป็นอีกกลไกสำคัญ ที่จะทำให้แรงกระเพื่อมในพรรคร่วมรัฐบาลลดน้อยลง หรือเพิ่มขึ้นก็ได้ ผ่านการปรับลด หรือเพิ่มงบประมาณในกระบวนการแปรญัตติ รวมทั้งอาจใช้การแปรญัตติ ดึงดูด ส.ส.ในซีกฝ่ายค้านให้ยกมือสนับสนุนในท้ายที่สุดก็ได้เช่นกัน
ส่วนอีกหนึ่งทางออกของรัฐบาล คือการยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ซึ่งต้องใช้งบประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท ในการจัดการเลือกตั้ง ไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่รัฐบาลต้องการ เพราะทักษะความเป็นนักการเมืองอาชีพของพรรคพลังประชารัฐและ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เชี่ยวชาญหรือชำนาญพอที่จะรับมือกับความเสี่ยงจากการเลือกตั้งอีกครั้ง เช่น กรณีการได้รับคะแนนนิยมอย่างเกินความคาดหมายของพรรคอนาคตใหม่ เป็นต้น
หรือแม้แต่ฝ่ายค้านก็คงไม่ต้องการเข้าสู่สนามเลือกตั้งอีกครั้ง เพราะยืนยันมาตลอดว่าภายใต้กลไกการเลือกตั้งของรัฐธรรมนูญ 2560 ฝ่ายค้านเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียก่อน รวมทั้งมีแผนที่จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยหน้าด้วย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ย้อนรอย 4 นายกฯ “ลาออก” หลังแพ้โหวตในสภาฯ
สุภาวดี อินทะวงษ์