วันนี้ (23 ต.ค.2562) กรุงเทพมหานครมีค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐานหลายแห่ง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดวันเพราะลมอ่อนและฝนลดลง ขณะที่แหล่งกำเนิดฝุ่นในกรุงเทพมหานครและปริมลฑลยังเท่าเดิม แพทย์และนักวิชาการเตือน ประชาชนกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ เด็ก คนชรา สตรีมีครรภ์ สวมหน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 ลดความเสี่ยง
แอปพลิเคชัน air4thai จากกรมควบคุมมลพิษ รายงานฝุ่น PM2.5 ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ตั้งแต่ในช่วงเช้าต่อเนื่องตลอดวัน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ได้แก่ บริเวณเขตจรัญสนิทวงศ์ เขตบางพลัด ริมถนนเพชรเกษม เขตภาษีเจิญ ริมถนนเจริญกรุง-พระราม 3 เขตบางคอแหลม ส่วนปริมณฑลพบเพิ่มขึ้นในพื้นที่ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร
ไม่ต่างจากรายงานของเว็บไซต์ airvisual ระบุ พบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในพื้นที่กรุงเทพฯ เกินมาตรฐานเกือบทุกเขต ติดอันดับ 13 ของโลก เช่นเดียวกับที่ จ.นนทบุรี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ ก็อยู่ในระดับที่มีความเสี่ยงกระทบต่อสุขภาพไม่แตกต่างกัน
น.ส.กรรวี สิทธิชีวภาค รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่าในเดือน ต.ค.นี้ กรุงเทพมหานครยังคงมีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานระลอกใหม่ หลังจากฝนในกรุงเทพเบาบางลงจึงเตือนให้คนกรุงเทพฯ เตรียมความพร้อมรับมือไว้ล่วงหน้า ประกอบกับความกดอากาศสูงระลอกใหม่ที่จะเข้ามาก็อาจทำให้เกิดสภาพอากาศปิด จนเกิดการสะสมตัวของฝุ่น PM 2.5 จนเกินค่ามาตรฐานอีกได้
ด้าน รศ.ศิริมา ปัญญาเมธีกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ขณะนี้มีแผนจะติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดในสวนสาธารณะรอบกรุงเทพฯให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถเตือนภัยฝุ่นพิษ PM 2.5 ได้ล่วงหน้า 2-3 วัน ก่อนที่ฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือทันเวลา
ส่วน ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ผลิตคู่มือเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นพิษ PM 2.5 เพื่อแจกให้กับประชาชนทั่วไปแล้ว รวมทั้งยังเตือนคนกรุงเทพฯ ให้ ตรวจสอบคุณภาพอากาศจากแอปพลิเคชั่นมือถือต่าง ๆ เป็นประจำ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่เป็นเด็ก คนชรา และผู้ป่วยจากโรคทางเดินหายใจ รวมทั้งเตรียมหน้ากากกันฝุ่นเอาไว้ล่วงหน้า เพราะในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ฝุ่นละอองขนาดเล็กจะเกินค่ามาตรฐานเป็นประจำ
ส่วนกลุ่มผู้ป่วยภูมิแพ้ควรระวังตัวจากสภาพอากาศในช่วงนี้ให้มากขึ้น เพราะหากปล่อยให้อาการแพ้เรื้อรังจากการสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 ต่อเนื่อง จะทำให้ติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น ทำให้เป็นไข้สูงหรือเชื้อลงปอดจนเกิดอาการหอบหืดกำเริบ ดังนั้น หากผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต้องออกไปในที่โล่งแจ้ง ควรล้างจมูกด้วยสเปรย์น้ำเกลือเมื่อเข้าสู่อาคาร เพื่อลดปริมาณฝุ่นที่เข้าสู่ร่างกายให้น้อยลง
ปัจจุบันค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 ขององค์การอนามัยโลกอยู่ที่ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนประเทศไทยกำหนดค่ามาตรฐานอยู่ที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่าเท่าตัว ดังนั้น แม้ค่าฝุ่น PM 2.5 ของไทยไม่เกินมาตรฐาน แต่กลุ่มเสี่ยงมีโอกาสสูงที่มีอาการกำเริบเร็วกว่า