รพ.จุฬาฯ คิดค้นตู้ความดันลบเก็บสารคัดหลั่ง ตรวจ COVID-19

สังคม
10 เม.ย. 63
13:56
1,058
Logo Thai PBS
รพ.จุฬาฯ คิดค้นตู้ความดันลบเก็บสารคัดหลั่ง ตรวจ COVID-19
รพ.จุฬาลงกรณ์ คิดค้นตู้ความดันลบตรวจคัดกรองผู้ป่วยก่อนผ่าตัด เพื่อหาเชื้อ COVID-19 โดยสามารถเก็บสารคัดหลั่งที่เว้นระยะห่างจากแพทย์และผู้ป่วย มีใช้ใน รพ.จุฬาฯ แล้ว 10 ตู้ และเตรียมส่งต่อให้โรงพยาบาลอื่น ๆ ในต่างจังหวัดอีก 50 ตู้

ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคณะแพทย์ในหลายสาขา คิดค้นตู้ความดันลบคัดกรองผู้ป่วย COVID-19 หรือ “จุฬา-วิด” หลังจากที่จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่ตรวจคัดกรองผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อรองรับผู้ป่วย รวมไปถึงห้องความดันลบตามโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ใช้ในการเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงก็มีจำนวนไม่เพียงพอ

 

อ.นพ.พสุรเชษฐ์ สมร อาจารย์ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ฯ เปิดเผยว่า ตู้ความดับลบฯ ผลิตมาจากอะคริลิคใส ที่มีความหนา 15 มม. และมีความสูงพอเหมาะกับผู้ที่จะเข้ารับการตรวจคัดกรอง ภายในตู้มีเครื่องดูดอากาศผ่าน HEPA Filter เกรดที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ ซึ่งสามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กเท่าไวรัสได้ 99.995% โอกาสที่ไวรัสจะหลุดรอดจากฟิลเตอร์แทบจะเป็น 0% นอกจากนี้ยังมีการฆ่าเชื้อด้วยหลอด UV-C ทำให้ไวรัสหมดความสามารถในการก่อโรค เมื่อเทียบกับหน้ากาก N95 ที่สามารถกรองอนุภาคได้ขนาด 0.3 ไมครอน ตู้นี้จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสมากกว่า 1,000 เท่า เพิ่มความมั่นใจให้บุคลากรทางการแพทย์ในการเก็บสารคัดหลั่งต่าง ๆ จากคอหอยและโพรงจมูกของคนไข้มาตรวจ

เชื้อไวรัส COVID-19 จะแพร่กระจายทางฝอยละอองจากการพูด การจาม หรือการไอ มีระยะของการกระจายอยู่ที่ 1-2 เมตร ซึ่งวิธีการเก็บสิ่งส่งตรวจสามารถกระตุ้นให้เกิดการฟุ้งกระจายของเชื้อโรคในอากาศได้ในระยะไกลและไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ ในขณะที่ห้องความดันลบที่ใช้ในการเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยต้องใช้งบประมาณที่สูงมาก และไม่สามารถทำได้ในทุกโรงพยาบาล

 

การเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยโดยบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความเสี่ยงน้อยที่สุดมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ตู้ความดันลบสำหรับใช้เก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19 ที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ พัฒนาขึ้นเป็นตู้ความดันลบตามมาตรฐานของการเก็บสิ่งส่งตรวจ มีประสิทธิภาพในการป้องกันการฟุ้งกระจายของเชื้อโรคให้อยู่แต่เฉพาะในตู้นี้เท่านั้น สามารถเคลื่อนย้ายเพื่อความสะดวกในการใช้งาน

ขณะนี้ได้มีการนำตู้ความดันลบสำหรับเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยแบบเคลื่อนที่มาใช้งานจริงแล้วที่หอผู้ป่วย COVID-19 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นตู้ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ซึ่งจะช่วยป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ในเรื่องความเสี่ยงในการติดเชื้อ

 

อ.นพ.พสุรเชษฐ์ กล่าวว่า ขณะนี้ผลิตตู้ดังกล่าวทั้งหมด 50 เครื่อง และมีการสั่งผลิตเพิ่มเติม โดยมีไว้ใช้ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 10 เครื่อง ที่เหลือจะกระจายไปตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาลยะลา โรงพยาบาลปัตตานี โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ค่าใช้จ่ายในการผลิตตู้ละ 100,000 บาท โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มบริษัท TCP ในส่วนของการออกแบบสร้างตู้สำหรับตรวจ COVID-19 หากมีผู้ที่สนใจต้องการจะนำไปผลิตหรือปรับปรุงเพื่อใช้งานทางการแพทย์ ก็สามารถนำไปใช้ต่อได้

ตู้นี้ใช้วัสดุที่ผลิตและหาได้ง่ายในประเทศ เมื่อสถานการณ์วิกฤต COVID-19 คลี่คลายลงก็ยังสามารถนำตู้นี้ไปใช้ในระยะยาวในการเก็บสิ่งส่งตรวจจากโรคทางด้านทางเดินหายใจอื่นๆ เช่น วัณโรค ไข้หวัดใหญ่ 

ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในตู้ความดันลบนี้ นอกจากเครื่องดูดอากาศที่ใช้กรองอนุภาคขนาดเล็กแล้ว ยังมีอุปกรณ์ ได้แก่ ถุงมือ ไม้พันสำลีที่ใช้เก็บตรวจสารคัดหลั่ง หลอดแก้วสำหรับบรรจุสิ่งเก็บตรวจ และถังขยะ ส่วนถุงมือก็จะเป็นแบบใช้แล้วทิ้ง เมื่อผู้มาตรวจเชื้อเข้าไปในตู้จะมีการเปิดเครื่องดูดอากาศ แพทย์ทำการตรวจสารคัดหลั่งจากคนไข้และเก็บสิ่งส่งตรวจใส่ในหลอดแก้ว จากนั้นก็จะหักปลายไม้พันสำลีทิ้งลงในถังขยะ จากนั้นจะทำความสะอาดตู้ทั้งหมด

 

ในสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 จำนวนคนไข้ที่มากขึ้น แพทย์อายุรกรรมที่มีความเชี่ยวชาญในการเก็บสิ่งส่งตรวจอาจไม่เพียงพอกับความต้องการ สุดท้ายแล้วมีแนวโน้มที่แพทย์ในสาขาอื่นจะต้องช่วยกันทำงานด้านการคัดกรองตรวจเชื้อ ไม่เว้นแม้แต่แพทย์ประจำบ้าน ซึ่งต้องทำหน้าที่นี้ให้ได้ นวัตกรรมนี้จะทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นเมื่อต้องมาเก็บสิ่งส่งตรวจ หรือสัมผัสกับคนไข้ ช่วยลดความกังวลในการปฏิบัติงานได้มาก

รพ.จุฬาลงกรณ์ ใช้ตู้นี้ในการตรวจคัดกรองผู้ป่วยที่จะต้องเข้ารับการผ่าตัดก่อนทุกครั้งเพื่อตรวจว่ามีการติดเชื้อ COVID-19 หรือไม่ หากผลตรวจพบว่าติดเชื้ออาจจะต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไปก่อน หรือหากจำเป็นต้องผ่าตัดเร่งด่วน แพทย์ผู้ผ่าตัดจะต้องมีการใส่อุปกรณ์ป้องกันอย่างเต็มที่ รวมทั้งแยกห้องผ่าตัดผู้ป่วยตามขั้นตอน

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง