กรณีที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม จับน.ส.ปุ๊ก อายุ 29 ปีที่อ้างตัวเป็นแม่รับดูแลเด็กอายุ 4 ขวบ 2 คน ที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจากอาการป่วยด้วยโรคเรนินโนม่าห์ และต้องโพสต์ขายสินค้าทางออนไลน์ รวมทั้งขอรับเงินบริจาคเพื่อนำเงินไปรักษาเด็กทั้งสองคน
วันนี้ (25 พ.ค.2563) นพ.พฤหัส ต่ออุดม ผอ.โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ พร้อมด้วย น.ส.ขนิษฐา บูรณพันศักดิ์ หัวหน้างานสังคมสงเคราะห์ ร่วมแถลงผลการรักษาอาการน้องอิ่มบุญ เด็กชายวัย 2 ขวบที่เข้ามารักษาตัว และถูกส่งไปอยู่ในการดูแลของพม.ในระหว่างดำเนินคดีน.ส.ปุ๊ก
นพ.พฤหัส กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลได้ดูแลทั้งน้องยิ้มม พี่สาววัย 4 ขวบ ที่เสียชีวิตไปแล้ว และน้องอิ่มบุญ อายุ 2 ขวบตั้งแต่ช่วงแรกเมื่อ 13-23 ม.ค.63 และอยู่ในหอผุู้ป่วยพิเศษ มีอาการอาเจียนเป็นเลือด และจากการซักประวัติจากแม่ ที่พามาบอกว่า 10 วันก่อนมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หลังจากกินปลาหมึกย่างเข้าไป 4 ชั่วโมง โดยระบุว่าเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจ.อุบลราชธานี และเมื่อนำมามารับการรักษา ได้ซักประวัติและตรวจเพิ่มเติม ด้วยการส่องกล้องในหลอดอาหาร และกระเพราะอาหารจนพบมีอาการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร
อ่านข่าวเพิ่ม แม่วัย 29 ปีรับสารภาพฉ้อโกง แต่ปฏิเสธทำร้ายลูก
ไทม์ไลน์น้องอิ่มบุญ-พบอาการคล้ายถูกกินสารกัดกร่อน
จากนั้นเด็กอยู่ในหอผู้ป่วย จนกินอาหาร กินนมได้ และป่วยอีกครั้ง 23 ม.ค.63 พบเด็กมีอาการปวดท้องกะทันหัน อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระเหลว ปากบวม ถือว่าอาการอยู่ในระดับวิกฤต แพทย์จึงต้องย้ายน้องเข้ามารักษาที่ห้องไอซียู จากนั้นทำการส่องกล้องซ้ำที่กระเพาะอาหาร ก็พบว่ามีแผลอักเสบรุนแรง ซึ่งครั้งนี้ทำให้ทางทีมแพทย์เริ่มสงสัยว่าร่างกายของน้อง น่าจะได้รับสารกัดกร่อน
น้องอิ่มบุญต้องรักษาตัวในห้องอยู่ไอซียู ตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค.-15 พ.ค.63 เบื้องต้น ทีมแพทย์จึงทำการรักษา ไปจนถึงต้นเดือนเมษายน จนน้องออกจากห้องไอซียู กลับมารักษาที่หอผู้ป่วยพิเศษ และเมื่อออกมาได้ไม่นาน อาการของน้องก็ทรุดและดี สลับกัน ทางทีมแพทย์จึงเริ่มสงสัยอาการที่ไม่สอดคล้องกับการรักษา และเริ่มจำกัดการเข้าเยี่ยม ในระยะเวลาประมาณ 1 เดือนครึ่ง โดยไม่อนุญาตให้นำอาหารเข้ามาเยี่ยม ประกอบกับเวลาที่น.ส.ปุ๊กเข้าเยี่ยม ก็จะมีทีมแพทย์คอยอยู่ด้วยตลอดเวลา
กระทั่งวันที่ 14 พ.ค.น้องอิ่มบุญ อาการดีขึ้น กำลังจะเตรียมตัวกลับ ทางทีมแพทย์ จึงแจ้งกับทางแม่ว่าให้น้องอยู่ที่โรงพยาบาลไว้ก่อน เพื่อประวิงเวลา ขณะที่หมออีกทีมหนึ่งก็ไปประสานกับทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ไปดูแล เมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยอาการของน้องอิ่มบุญ หลังออกจากโรงพยาบาล ก็จะมีภาวะแทรก ซ้อน มีอาการเสียงแหบ เหนื่อยง่ายเวลาเล่นเพราะมีการอักเสบทางปอด ซึ่งหลังจากนี้ จะมีการผ่าตัดที่คอเพื่อรักษา
สรุปว่าเด็กมีอาการเลือดออกในทางเดินอาหาร เป็นเลือดสดสีดำคล้ำ และยังเกิดขึ้นในโรงพยาบาล เมื่อส่องกล้องไปอาจจะมีหลายสาเหตุทั้งติดเชื้อ และได้รับสารกัดกร่อน
ส่วนการตั้งข้อสังเกตของทีมแพทย์ นพ.พฤหัส กล่าวว่า ทีมแพทย์ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเป็นการแพ้ อาการเมื่อไม่ได้รับเชื้อนั้นแล้ว ก็จะทุเลาเบาลงและหายไป แต่ปรากฏว่าในกรณีของเด็ก 2 คนนี้ แม้ว่าจะไม่ได้รับอาหารชนิดนั้นแล้ว อาการก็ยังคงทรุดอยู่ ทำให้ทีมแพทย์คาดว่า น่าจะเกิดจากการแพ้สารเคมีบางชนิดที่ไม่ใช่อาหาร ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อน และเกิดขึ้นเฉพาะจุดของร่างกาย บริเวณที่เป็นระบบทางเดินอาหาร ตั้งแต่ปาก ไปจนถึง กระเพาะอาหาร
เทียบเคสพี่สาว-น้องพบอาการคล้ายกัน
นพ.พฤหัส กล่าวอีกว่า ที่น่าสนใจทีมแพทย์ ได้ดูแลเคสของพี่สาว คือน้องยิ้ม วัย 4 ขวบที่เข้ามาตัวช่วงวันที่ 20 ธ.ค.61 และเสียชีวิต 12 ส.ค.62 และหลังจากดูแลนาน 8 เดือน โดยพบเด็กเข้าออกโรงพยาบาล 7 ครั้งความเห็นของแพทย์ที่รักษา สาเหตุที่นำไปสู่การเสียชีวิตของน้องยิ้ม คือ เลือดออกจากทางเดินอาหารส่วนบน จากการส่องกล้องพบการอักเสบของเยื่อบุในทางเดินอาหาร และน้องอมยิ้ม มีปัญหาความดันโลหิตสูงในเด็กโดยไม่พบสาเหตุ สุดท้ายน้องไตวาย และเสียชีวิต เป็นภาวะแทรกซ้อนจากเรื่องเลือดออกในทางเดินอาหารที่รักษาอยู่
จากประวัติเด็กทั้ง 2 คนมีอาการคล้ายกัน ส่วนสาเหตุอาการเจ็บป่วย ขอให้รอผลทางคดีจากตำรวจ ทีมแพทย์สรุปว่าอาการป่วยมีสาเหตุจากการถูกกระทำขึ้น ไม่ใช่ตัวโรคตามธรรมชาติ
นพ.พฤหัส กล่าวอีกส่า ในกรณีของผู้ป่วยที่พยายามฆ่าตัวตายด้วยการดื่มน้ำยาล้างห้องน้ำ ที่มีสารกัดกร่อน จะมีลักษณะแผลใกล้เคียงแผลของเด็ก 2 คน
อ่านข่าวเพิ่ม รอผลตรวจ "สารเคมี" โยงปมวางยาเด็กรับเงินบริจาค 15 ล้านบาท
คนไทยมีสิทธิ์รักษาฟรี
นพ.พฤหัส กล่าวอีกว่า นอกจากนี้อยากจะสื่อสารว่าคนไทยทุกคนมีสิทธิ์รักษาพยาบาลในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค และสิทธิ์ประกันสังคม จึงไม่อยากให้กังวล กรณีของน้องอิ่มบุญ ได้ใช้สิทธิ์ 30 บาทรักษาทุกโรค แม้ว่าบางอุปกรณ์บางอย่างและยาบางรายการจะไม่ได้รับสิทธิ์ แต่มีกองทุนช่วยเหลือผู้ป่วยที่อนุมัติได้จากแพทย์ และหน่วยสังคมสงเคราะห์ที่ดูแลหลังจากกลับไปที่บ้านแล้ว เช่น ผ้าอ้อมเด็ก รวมทั้งการรับบริการจากโรงพยาบาล จึงไม่จำเป็นต้องขอรับบริจาค
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
รอผล DNA " อิ่มบุญ" ปมวางยา-แนะเช็กก่อนโอนเงินบริจาค