ตรวจค้น 4 บริษัทใช้ต่างชาติสวมบัตรประชาชนทำธุรกิจ

อาชญากรรม
15 ก.ค. 63
16:35
1,555
Logo Thai PBS
 ตรวจค้น 4 บริษัทใช้ต่างชาติสวมบัตรประชาชนทำธุรกิจ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจค้นบริษัทที่พบว่าชาวต่างชาติสวมสิทธิ์คนไทยประกอบธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้คนต่างชาติทำ เบื้องต้น พบมี 4 บริษัท และเงินทุนหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท

วันนี้ (15 ก.ค.2563) พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้าหลังจากที่ได้สืบสวนพบอดีตปลัดอำเภอเวียงแก่น จ.เชียงราย อำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติสวมสิทธิ์เป็นสัญชาติไทย และได้ตรวจสอบกลุ่มบุคคลที่ทำบัตรประชาชนในช่วงเวลาดังกล่าว 255 คน จนพบชาวต่างชาติเข้ามาสวมสิทธิ์คนไทยทำธุรกิจที่ไม่ให้ชาวต่างชาติทำในไทย

 

 

โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่งที่อยู่ย่านห้วยขวาง หลังพบว่ามีชายคนหนึ่งสัญชาติจีนชื่อ "อาเปา" ได้เปิดบริษัทประกอบธุรกิจให้เช่าสังหาริมทรัพย์ทุกชนิด และเป็นนายหน้าตัวแทนเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ ต้องห้ามตามบัญชี 1(9) บัญชี 3 (11) พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และยังพบว่ามีบริษัทประกอบธุรกิจขายส่งข้าวและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการโรงสีข้าว ต้องห้ามตามบัญชี 3 (13), บริษัทธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเอง เพื่อการพักอาศัย ต้องห้ามตามบัญชี 1 (9), และบริษัทประกอบธุรกิจก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย ต้องห้ามตามบัญชี 3 (10) ซึ่งมีทุนจดทะเบียนรวมกันกว่า 3,600 ล้านบาท

เร่งตรวจสอบทุจริตสวมบัตรประชาชน

พ.ต.ท.กรวัชร์ เปิดเผยว่า การตรวจค้นบริษัทตามเป้าหมายวันนี้ ยังพบหลักฐานสำคัญที่จะใช้ดำเนินคดีต่อ ทั้งเอกสารเกี่ยวกับที่ดิน และการดำเนินธุรกิจที่ผิดปกติ รวมทั้งยังพบว่านายอาเปาได้รับการโอนหุ้นหลังจากได้สัญชาติไทยมาเพียง 15 วัน และให้บุคคลอื่นดูแลธุรกิจในไทย

 

พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร

พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร

พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร

นายวีระชาติ ดาริชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กล่าวว่า การตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่ทำบัตรประชาชนกับอดีตปลัดอำเภอคนดังกล่าว 255 คน ขณะนี้ตรวจสอบยังไม่แล้วเสร็จ แต่ตรวจพบผู้ที่สวมสิทธิ์เป็นคนไทยแล้ว 10 คน และได้เพิกถอนสัญชาติไปแล้วเช่นเดียวกับนายอาเปา ส่วนบุคคลที่สามารถนำเอกสาร และพยานบุคคลมายืนยันได้ก็จะให้ถือครองสัญชาติไทยต่อ

เอาผิดอดีตปลัดอำเภอทั้งคดีอาญา-วินัย

ขณะที่การดำเนินคดีกับอดีตปลัดอำเภอคนดังกล่าว ได้ดำเนินการทั้งทางคดีอาญาและทางวินัย โดยไล่ออกจากราชการไปแล้ว แต่ยังให้การปฏิเสธ และยังไม่พบว่ามีข้าราชการคนอื่นเกี่ยวข้อง เพราะด้วยระบบการทำบัตรประชาชนแล้ว ปลัดอำเภอเพียงคนเดียวก็สามารถทำได้ แต่จะมีกลุ่มนายหน้าที่หากลุ่มชาวต่างชาติมาสวมสิทธิ์ด้วยหรือไม่ ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบ แต่เชื่อว่ามีกลุ่มคนเหล่านี้อยู่

 

สำหรับคดีนี้ถือว่ากระทบต่อความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากชาวต่างชาติเหล่านี้เมื่อสวมสิทธิ์เป็นคนไทยแล้ว สามารถได้สิทธิเท่าเทียมคนไทย แต่การทำธุรกิจต่างๆ ไม่มีการเสียภาษีและนำเงินที่ได้ออกนอกประเทศไปอยู่ตลอดเวลา ซึ่งขณะนี้ดีเอสไอกำลังเร่งดำเนินการสืบสวนขยายผลถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องและกลุ่มชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจดังกล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง