กองทัพเรือ แจงยิบจำเป็นต้องซื้อ"เรือดำน้ำ" วอนอย่าโยงการเมือง

การเมือง
24 ส.ค. 63
16:29
7,222
Logo Thai PBS
กองทัพเรือ แจงยิบจำเป็นต้องซื้อ"เรือดำน้ำ" วอนอย่าโยงการเมือง
กองทัพเรือ ตั้งวงแถลงความจำเป็นจัดซื้อเรือดำน้ำ 22,500 ล้านบาท ยืนยันจีทูจีของจริงไม่เก๊ตามที่ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำเอกสารลับมาเปิดเผยชี้แจงบิดเบือน แต่ยังไม่พิจารณาฟ้องแค่ต้องการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ย้ำเป็นโครงการเก่าปี 60 รวม 3 ลำใช้งบเดิมทยอยจ่าย 7 ปี

กรณีกองทัพเรือถูกตั้งคำถามถึงความจำเป็นเรื่องการซื้อเรือดำน้ำ 22,500 ล้านบาทโดยเฉพาะประเด็น ที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างงบประมาณปี 2564 นำเอกสารลับที่เป็นสัญญาลงนามจัดซื้อเรือดำน้ำแบบจีทูจีมาแสดง เพื่อชี้ให้เห็นว่าการลงนามดังกล่าวกระทำผิดกฎหมาย

วันนี้ (24 ส.ค.2563) พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ พร้อมด้วยตัวแทนจากกองทัพเรือใช้เวลาในการแถลงชี้แจงและตอบคำถามสื่อมวลชนนานกว่า 2 ชั่วโมง โดยพล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ สายงานกิจการพลเรือน ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.ยุทธพงศ์ พูดข้อมูลบิดเบือนเรื่องเรือดำน้ำ สร้างความเสียหายให้สังคม และประชาชนและสร้างความเกลียดชังให้กับกองทัพ โดยเฉพาะการซื้อแบบจีทูจีที่บอกว่าเป็นเรื่องเก๊

ยืนยันว่า กองทัพเรือทำอย่างถูกต้องโปร่งใส จำนำข้าวแบบจีทูจีสิถึงเก๊ ขออย่านำเรื่องนี้ไปก่อให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง การใช้เงิน 22,500 ล้านบาท ไม่ได้จัดซื้อในปี 2564 ครั้งเดียวทั้งก้อน ประเด็นนี้ทำให้ประชาชนสับสน

 

วันนี้ต้องขอย้ำว่า ผบ.ทร. ย้ำว่า การจัดหายุทโธปกรณ์ ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาเปิดเผยได้ในหน้าหนังสือพิมพ์ แต่มันเป็นความลับของชาติ รัฐบาลได้จัดหางบฯ มาช่วยประชาชนทุกด้าน ซึ่งเงินแต่ละก้อนมีการแบ่งการใช้ของแต่ละกระทรวง ทบวง กรมอยู่แล้ว

ถ้าหมดมุกแล้วอย่ามาใช้เรื่องเรือดำน้ำ มาทำประเด็นการเมือง และอย่าเล่นการเมืองแบบสกปรกแบบนี้อย่านำเรื่องเท็จมาพูดทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเกิดความแตกแยก

อย่าหวังผลทางการเมือง-ประชาชนสับสน

พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ ระบุว่ากองทัพเรือได้เข้าชี้แจงกับกมธ.งบประมาณซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ เข้าประจำการในกองทัพเรือ มูลค่ากว่า 22,500 ล้านบาท แต่ถูกนำข้อมูลบางส่วนมาแถลงทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน อาจมาจากการหวังผลทางการเมือง

พล.ร.ท.เถลิงศักดิ์ ศิริสวัสดิ์ เจ้ากรมยุทธการทหารเรือ นำคลิปความยาว 3 นาทีไปชี้แจงกับทางกมธ. งบประมาณเรื่องความจำเป็นเรือดำน้ำ ซึ่งเรือลำดำน้ำชุดแรกของไทยปลดประจำการทั้ง 4 ลำ และจำเป็นที่ต้องมีเพื่อความมั่นคงผลประโยชน์ในทะเลอีก 6 ปี ถึงจะต่อเรือแล้วเสร็จ แม้ว่าสงครามจะยังไม่เกิด

ขณะที่ข้อมูล ระบุว่า ประเทศไทยมีเรือดำน้ำ 4 ลำตั้งแต่ปี 2481 โดยก่อนหน้านี้มีการรบที่เกาะช้าง พ.ศ.2484 ไทยมีเรือดำน้ำข่มขวัญฝรั่งเศสให้ถอนกำลังไปได้ เรือดำน้ำ 4 ลำปลดประจำการ พ.ศ.2494 หรือ 69 ปี ที่ไทยไม่มีเรือดำน้ำ

 

ส่วนอาเซียนมีเรือดำน้ำ เวียดนาม 6 ลำ อินโดนีเซีย 5 ลำ กำลังจัดหาอีก 4 ลำ มาเลเซีย 2 ลำ สิงคโปร์ 4 ลำ กำลังจัดหาอีก 4 ลำ เมียนมา 1 ลำ กำลังจัดหาอีก 4 ลำ รวมเรือดำน้ำในอาเซียนทั้งหมด 18 ลำทั้งนี้ กำลังทหารเรือยังเป็นเครื่องมือสำคัญต่อการเจรจาปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิทางทะเล เกาะกูด เกาะหลาม เกาะคัน และเกาะขี้นก โดยเรือดำน้ำสั่งต่อวันนี้อีก 6 ปีได้ใช้

พล.ร.ท.เถลิงศักดิ์ กล่าวว่า สถานการณ์ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ รวมถึงคาบสมุทรเกาหลี รวมถึงการวางกำลังทางเรือสหรัฐฯ ในพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ความขัดแย้งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการปะทะกัน ซึ่งส่งผลต่อเส้นทางการเดินเรือและผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศมูลค่ามหาศาล ปี 2572 ข้อตกลงระหว่างไทยกับมาเลเซียในการพัฒนาพื้นที่ร่วมทางทะเลหรือ เจดีเอจะยุติลงซื้อคาดว่าจะมีการพูดคุยเพื่อทำสัญญาก่อนปี 2572

การที่เรามีเรือดำน้ำในปี 2570 จะส่งผลต่อการเจรจาต่อรองเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ส่งผลให้ไทยไม่เสียเปรียบ ผลประโยชน์ทางทะเลของชาติสูงถึง 24 ล้านล้านบาท เพราะลงนามจัดซื้อเรือดำน้ำ วันนี้กว่าจะได้รับเรือคือปี 2570   

เปิดขั้นตอนสัญญาจีทูจี-พล.ร.อ.ลือชัย 

พล.ร.ท.ธีรกุล กาญจนะ ปลัดบัญชีทหารเรือ ระบุขั้นตอนการจัดซื้อดำน้ำรวม 3 ลำกับจีนเป็นโครงการต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 โดยลำแรกวงเงิน 13,500 ล้านบาท ทยอยจ่าย 7 ปี 2560-66 และอีก 2 ลำเป็นการจัดหาต่อเนื่องให้ครบ 3 ลำตามโครงการที่อนุมติไว้ไม่ใช้งบอนุมัติใหม่

พล.ร.ท.ธีรกุล ระบุว่าเป็นรายการเสริมสร้างกำลังกองทัพที่ผูกผันเริ่มปี 2563-69 เป็นการทยอยจ่ายจากการใช้งบรายปีของ ทร.ไม่ได้ขอรับงบเพิ่มเติม และรายการนี้อยู่ในพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ซึ่งตามกำหนดที่ต้องชำระใน 7 งวดที่ตั้งไว้ในตอนแรก ระบุไว้ว่า ในปี 2563 จ่ายวงเงิน 3,375 ล้านบาท ปี 2564 วงเงิน 3,925 ล้านบาท ปี 2565 วงเงิน 2,640 ล้านบาท ปี 2566 วงเงิน 2,500 ล้านบาท ปี 2567 วงเงิน 3,060 ล้านบาท ปี 2568 วงเงิน 3,500 ล้านบาท ปี 2569 วงเงิน 3,500 ล้านบาท

 

เนื่องจากเกิดสถานการณ์ COVID-19 รัฐบาลได้ให้หน่วยงานราชการโอนงบประมาณคืนไปใช้สำหรับการแก้ไขปัญหา ซึ่งกองทัพเรือได้เห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้ตัดลดงบที่ได้ตั้งเอาไว้ในปีงบ 2563 และจ่ายงวดแรกในวงเงินงบปี 2564 แทน และไปจบงวดสุดท้ายในปี 2570 รวมทั้งหมด 22,500 ล้านบาทคือทยอยจ่ายปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท

 

น.อ.ธาดาวุธ ทัตพิทักษ์กุล รองผอ.สำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ ในฐานะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ กล่าวว่า การลงนามแบบจีทูจีที่มี พล.ร.อ.ลือชัย ไม่เป็นโมฆะตามที่พรรคการเมืองบอก เพราะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทย การจัดซื้อ มีระบบการวิเคราะห์การซื้อที่คำนึงถึงความจำเป็นกับประชาชน ศึกษาเสนอแนะจนมีมติเห็นชอบจากรัฐบาล เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2558

จากนั้นกองทัพเรือได้พิจารณาอย่างรอบคอบผ่านความเห็นชอบและตรวจสอบจากหลายหน่วยงาน แล้วว่าที่ไหนมีอู่ต่อเรือดำน้ำที่มีศักยภาพต่อเรือให้ไทย และพบว่ามี 6 อู่ แต่ข้อเสนอที่ประโยชน์และคุ้มค่าที่สุดกับไทยคือจีน ในปี 2558-2559 และกระทรวงกลาโหม อนุมัติเรือดำน้ำตามยุทธศาสตร์ในเดือน ก.ค.2559

ในขณะนั้นจึงอนุมัติให้พล.ร.อ.ลือชัย เสนาธิการทหารเรือในตอนนั้น ไปลงนาม ซึ่งมีการมอบอำนาจชัดเจนทั้งนี้ เอกสารลงนามในข้อตกลง สร้างเรือดำน้ำ ลำที่ 1 เมื่อปี 2560 โดยตัวแทนรัฐบาลจีน คือ "CSOC" ขณะที่ตัวแทนรัฐบาลไทย คือกองทัพเรือ เมื่อเป็นจีทูจี เราจึงไม่ใช้คำว่าสัญญา แต่ใช้คำว่า "ข้อตกลง"

ส่วนจีนมีการสั่งการซัสติน และมอบอำนาจให้บริษัท ซีเอสโอซี ที่รับมอบอำนาจมาลงนามร่วมกันกับทางการไทยอย่างชัดเจนคนที่มาลงนามได้รับมอบอำนาจมา จึงไม่ใช่จีทูจีปลอม กองทัพเรือไม่เคยพูดเท็จกับประชาชน

ประวัติศาสตร์กองทัพเรือไม่เคยพูดเท็จกับประชาชน  และให้ข้อมูลที่ผิดไปสร้างความแตกแยกกับประชาชน เพราะการจัดซื้อเป็นขั้นตอนกระบวนการ 

ย้ำกองทัพเรือไม่ฝักใฝ่การเมือง

ขณะที่นายพิจารณ์ เชาวพัฒนาวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นในเวทีแถลงข่าวชี้แจงจัดซื้อเรือดำน้ำว่า เป็นกองทัพไม่ควรพูดจาเหน็บแนม หรือลดทอนความน่าเชื่อถือ กรณีนักการเมืองหยิบประเด็นขึ้นมา อยากให้ชี้แจงตามข้อเท็จจริง

ดังนั้นถ้าเลื่อนการจ่ายเงินงวดที่ 1 วงเงินกว่า 3,200 ล้านบาทออกไปก่อน จะนำไปใช้ในส่วนอื่นๆ ได้ จากการฟังแถลงไม่พบว่า พูดถึงเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจ ถึงแม้จะย้ำเรื่องช่วยเรื่อง COVID-19 พร้อมตั้งคำถามว่า กองทัพเรือจะลดงบด้านบุคลากรที่สูงถึง 43 % ถ้าเทียบกับมาเลเซียได้หรือไม่

 

ผู้สื่อถามว่าจะฟ้องนายยุทธพงศ์หรือไม่ พล.ร.อ.สิทธิพรระบุว่า เบื้องต้นต้องทำความเข้าใจและชี้แจงเรื่องสัญญาจีทูจี เป็นสัญญาที่ถูกต้องไม่ใช่เรื่องเก๊ ตามที่ถูกกล่าวหา ส่วนที่มีผลกระทบกับกองทัพเรือจะ ขอดูรายละเอียดว่าทำให้เสียหายหรือไม่

พล.ร.อ.สิทธิพร ระบุว่า กองทัพเรือเห็นคุณค่าของเรือดำน้ำ และความจำเป็นที่ต้องมีในปี 2570 ทำโครงการต่อเนื่องตามยุทธศาสตร์มีการทำสัญญาจีทูจี ยึดประโยชน์ใช้เม็ดเงินที่กองทัพเรือได้รับการจัด สรร

ทหารเรือไม่ชอบเล่นการเมืองอยู่กับประชาชน ไม่ฝักใฝ่ และอยู่กับการเมือง 

โดยระหว่างการแถลง กองทัพเรือ ยอมรับถ้าไม่เดินหน้าโครงการจัดซื้อลำที่ 2 และ 3 "ไม่มีค่าปรับใดๆ" แต่ทั้งหมดต้องยกเลิก ไปก่อนจะย้ำว่า ปากท้องที่อิ่มต้องมาพร้อมกับความมั่นคงของประเทศด้วย

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

จับตา "กองทัพเรือ" แถลงปมซื้อเรือดำน้ำ 22,500 ล้านบาท

เปิดชื่อ ใครเป็นใคร? ยกมือโหวตผ่านซื้อเรือดำน้ำ 2.25 หมื่นล้าน

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง