ดีเดย์ต้นปี 64 ยกเลิกไม้กั้นทางด่วน-มอเตอร์เวย์

สังคม
14 ก.ย. 63
18:19
5,382
Logo Thai PBS
ดีเดย์ต้นปี 64 ยกเลิกไม้กั้นทางด่วน-มอเตอร์เวย์
รมว.คมนาคม ยืนยันยกเลิกไม้กั้นทางด่วน-มอเตอร์เวย์ นำร่องต้นปี 64 ยกตู้ด่านเก็บเงินออกจากด่านมอเตอร์เวย์ทับช้าง แง้มเชื่อมข้อมูลงานทะเบียนกรมการขนส่งทางบก พร้อมประสานตำรวจกำหนดโทษหากไม่จ่ายเงิน

วันนี้ (14 ก.ย.2563) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือในการเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับข้อมูลทะเบียนยานพาหนะระหว่าง กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวง และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อศึกษาและพัฒนาระบบเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติ แบบไม่มีไม้กั้น ในรูปแบบและมาตรฐานเดียวกัน ระหว่างกรมทางหลวง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กรมการขนส่งทางบก บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ว่า นโยบายเร่งด่วนที่ได้ประกาศตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง คือการยกเลิกไม้กั้นบนทางด่วน เพราะที่ผ่านมาพบว่ามีปัญหาการจราจรแออัดบริเวณด่านจ่ายเงิน และประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการใช้บริการ

 

หลังจากนี้ทั้งการทางพิเศษฯ และมอเตอร์เวย์ จะเริ่มนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้โดยนำระบบกล้องอ่านป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติที่เชื่อมต่อข้อมูลกับกรมการขนส่งทางบก เมื่อประชาชนใช้บริการจะสามารถขับรถผ่านได้เลยโดยไม่ต้องชำระค่าบริการ และประชาชนผู้ใช้บริการจะจ่ายเงินค่าใช้ค่าผ่านทางในตอนสิ้นเดือน

โครงการดังกล่าวจะเห็นผลเป็นรูปธรรมในเทศกาลปีใหม่ 2564 ระบบเก็บค่าผ่านทางแบบไร้ไม้กั้น จะนำร่องมาใช้ที่ด่านมอเตอร์เวย์ทับช้าง และจะมีการยกตู้เก็บค่าผ่านทางออกทั้งหมด เพื่อนำระบบ M-Flow มาใช้เต็มรูปแบบ และภายในปี 2564 ตลอดทั้งปี ก็จะนำกระบะใช้กับด่านมอเตอร์เวย์อื่น ๆ ส่วนระบบทางด่วนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จะนำร่องมาใช้กับระบบทางด่วนสายฉลองรัช ก่อนที่จะขยายไปทางด่วนสายอื่น ๆ โดยยืนยันว่าระบบดังกล่าวจะพบายามให้ครอบคลุมระบบทางด่วนทั้งหมดภายในปี 2564

 

ส่วนกาารเชื่อมระบบฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งจำเป็นต้องใช้ข้อมูลฐานการจดทะเบียนรถยนต์ของกรมการขนส่งทางบกเข้ามาช่วยกำกับนั้น รมว.คมนาคม ระบุว่า เริ่มต้นทั้งกรมทางหลวง และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จะมีการว่าจ้างบริษัทกลางในการติดตาม การจัดเก็บค่าผ่านทาง หลังจากที่ระบบ M-Flow สมบูรณ์แล้ว ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่าแม้จะมีระบบไม้กั้นแต่การจัดเก็บค่าผ่านทางก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ผู้ใช้ทางบางรายไม่ยอมจ่ายค่าผ่านทาง เช่นในส่วนทางด่วนของ กทพ. ในแต่ละวันจะมีผู้ที่ไม่ยอมชำระค่าผ่านทางเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2 ของผู้ใช้ระบบทางด่วนทั้งหมด ซึ่งบริษัทกลางที่มีลักษณะเหมือนเคลียริ่งเฮาส์นี้ จะติดตามเร่งรัดจัดเก็บมีการออกใบแจ้งเตือนเพื่อให้ผู้ใช้ทางชำระเหมือนระบบจัดเก็บค่าบริการใช้โทรศัพท์มือถือ

 

รวมทั้งในอนาคตหากมีการใช้ระบบ M-Flow หรือไม่มีไม้กั้นแล้ว การที่ผู้ใช้ทางไม่ยอมไปชำระค่าผ่านทางจะมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อกำหนดให้การไม่ยอมชำระค่าผ่านทางด่วนนั้น เป็นการกระทำผิดตามกฎหมายจราจรด้วย โดยสามารถเชื่อมโยงระบบร่วมกันระหว่างตำรวจและกรมการขนส่งทางบกเมื่อมีผู้ผ่านทางรายดังกล่าวมาต่อทะเบียนจะทราบข้อมูลและต้องชำระค่าผ่านทางก่อนจึงจะสามารถต่อทะเบียนได้

ระบบดังกล่าวมีข้อดี เพราะจะช่วยเรื่องการตรวจสอบยานพาหนะที่เข้ามาในระบบ ว่ารถคันใดที่มีประวัติไม่ถูกต้องหรือผิดกฎหมายเข้ามาใช้บริการ

รมว.คมนาคม กล่าวว่า การยกเลิกไม้กั้นทางด่วนอาจจะมีผลทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะพนักงาน จึงอยากให้การทางพิเศษฯ กรมทางหลวง และบริษัทเอกชนผู้รับสัมปทาน ช่วยพิจารณาหาทางเยียวยาและไม่ต้องการให้มีการรีไทร์พนักงาน แต่ขอให้พิจารณาให้ไปทำงานในตำแหน่งอื่นแทน

 

นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า กทพ.มีแผนจะนำระบบกล้องอ่านป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติที่เชื่อมต่อข้อมูลกับกรมการขนส่งทางบก มาใช้ร่วมกับระบบชำระเงินด้วยวิธีการ ทางอิเล็กทรอนิกส์ และบูรณาการทำงานในรูปแบบและมาตรฐานเดียวกัน (Single Platform System) โดยจะนำร่องใช้งานระบบ M-Flow ในโครงการทางพิเศษฉลองรัชและด่านฯ ที่เป็นจุดรองรับการจราจรที่ทิศทางขาเข้าเมือง ที่มีปริมาณจราจรหนาแน่น อาทิ ด่านฯ บางนา กม.6 ขาเข้า ด่านฯ ดาวคะนอง รวมถึงนำไปใช้กับทางพิเศษที่ กทพ. กำลังดำเนินการก่อสร้าง คือ โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก และโครงการทางพิเศษฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี อีกด้วย

ทั้งนี้การร่วมมือกันตามบันทึกข้อตกลงที่จะเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนรถ ระหว่าง กทพ. กับ กรมการขนส่งทางบก จะช่วยให้ กทพ. สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ชำระค่าผ่านทางไม่ว่าจะเป็นชื่อ ที่อยู่ เพื่อสามารถติดตามเรียกเก็บค่าผ่านทางและดำเนินการตามกฎหมายได้

 

ด้านนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) กล่าวว่าส่วนของการเพิ่มโทษนั้น ได้ทำเรื่องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อบรรจุเพิ่มข้อหาเกี่ยวกับกรณีที่ไม่ชำระค่าผ่านทางเป็นความผิดข้อหานึงในพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจร ซึ่งจะมีการเชื่อมระบบไปยังตำรวจจราจรเพื่อออกใบสั่งที่ได้เชื่อมโยงกับการบูรณาการแบ่งปันข้อมูลที่ทาง สตช.และกรมการขนส่งทางบกได้มีการทำความร่วมมือกันไว้ก่อนหน้านี้ที่หากไม่ชำระค่าใบสั่งก็จะไม่สามารถต่อทะเบียนรถได้แต่ก็จะให้ระยะเวลาไม่เกิน 30 วันในการดำเนินการชำระ โดยจะมีสติกเกอร์วงกลมให้ใช้เป็นการชั่วคราวแต่ในเบื้องต้นผู้ที่กระทำผิดก็จะต้องมีการถูกปรับเงิน 10 เท่าอยู่แล้ว ส่วนของ ทล.ก็จะมีกล้องช่วยในการบันทึกภาพหากพบว่าไม่ได้มีการชำระค่าผ่านทางหลายครั้งก็จะให้ตำรวจทางหลวงสกัดจับกุมเพื่อดำเนินการลงโทษตามระเบียบขั้นตอนต่อไป เนื่องจากรถทุกคันมีข้อมูลอยู่ในระบบอยู่แล้ว

รถทุกคันจะต้องถูกบันทึกข้อมูลไว้อยู่แล้ว สิ่งที่ไทยยังไม่มีไม่เคยทำคือจุดตรวจสอบรถผิดกฎหมาย การดำเนินการดังกล่าวเป็นการตรวจเช็คก็จะมีการใช้ทั้งระบบและบุคลากรในการตรวจสอบ

รถวิ่งผ่านระบบจะตรวจจับทะเบียนรถข้อมูลก็จะลิ้งค์กับข้อมูลรถของกรมการขนส่งทางบกก็จะมีการส่งบิลไปที่บ้าน หากพบว่าทะเบียนรถไม่ตรง ประเภทรถไม่ใช่ สีรถไม่ชัดจะมีการส่งข้อมูลให้ทางกรมขนส่งทางบกเพื่อตรวจสอบและหากมีข้อมูลไม่ชัดเจนก็จะมีการส่งจ้อมูลต่อให้ทางตำรวจต่อไป

 

ทั้งนี้ในการดำเนินการ ทล.จะใช้ลงทุนประมาณ 180 ในการจัดทำระบบและโครงสร้างพื้นฐานไม่รวมกล้องเพราะเป็นในส่วนที่ทางเอกชนที่ผ่านการประมูลจะต้องเป็นผู้ลงทุน โดย ทล.จะจ่ายค่าเช่าและค่าซ่อมบำรุงเป็นรายเดือน รวมถึงค่าตรวจสอบข้อมูลและติดตามทวงค่าขึ้นทางด่วนโดยจะจ่ายตามจริงเป็นรายคัน ส่วนรายได้จะเข้าตรงมาให้ ทล.ทั้งหมด ซึ่งเอกชนจะรับค่าจ้างในการบริหารจัดการ บริหารความเสี่ยง และสัญญาเป็นปีต่อปีรวมถึงต้องมีการการันตีการจัดเก็บรายได้ด้วย

ขณะที่การทุบด่านนั้นตามหลักในอนาคตก็มองว่าเพื่อความสะดวกในการผ่านแต่เนื่องจากเป็นของหลวงก็ต้องพิจารณา ซึ่งตามปกติก็ใช้ความเร็วไม่เกิน 160 กิโลเมตรต่อชั่งโมง แต่ตามที่ได้มีการประกาศการใช้ความเร็วปัจจุบันใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่งโมง ส่วนกรณีที่ใช้บัตรผ่านทาง M-Pass นั้นก็สามารถนำเลขทะเบียนรถมาผูกใช้กับบัญชีก็สามารถโอนใช้ได้เลยและเติมเงินได้เหมือนเดิม

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง